วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

[211]ไม่ควรเรียนภาษาอังกฤษ แบบ ‘ยิ่งรีบ - ยิ่งช้า’

สวัสดีครับ
บ่อยครั้งที่ท่านผู้อ่านถามมาว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลเร็ว ๆ, มีทางลัดในการเรียนอย่างไรหรือไม่, จะต้องทำยังไงที่จะพูดให้ได้เพื่อเอาไปสอบสัมภาษณ์เดือนหน้า, ทิ้งภาษาอังกฤษมานานแล้วทำอย่างไรจึงจะฟื้นได้เร็ว ๆ เพราะงานในตำแหน่งใหม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ, หรือคำถามอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันนี้

อันดับแรกก็ต้องบอกว่า ผมชื่นชมทุกท่านที่ถามคำถามเหล่านี้ เพราะนี่แสดงว่าท่านใฝ่ใจที่จะทำให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ เพื่อให้ภาษาอังกฤษช่วยพัฒนาการงานและชีวิตของท่าน และท่านก็มีเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ได้เร็วที่สุด

พอมองแง่นี้ก็จะเห็นว่า การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ต่างจากสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต คือ เราต้องการจะมีหรือได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เราจึงตั้งเป้าหมาย และพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ปัญหาก็คือ ในช่วงที่เราพยายามนี้เรามักจะไม่ค่อยมีความสุขนัก มันครั่นเนื้อครั่นใจ กระสับกระส่าย ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งหมายความว่าถ้าเราบอกตัวเองว่าเราจะพยายามฟิตภาษาอังกฤษสัก 1 ปี เราก็จะอยู่ในอาการ ‘เป็นไข้’ เพราะภาษาอังกฤษที่เราต้องการจะฟิตพ่นพิษใส่เราตลอดช่วง 1 ปีที่เราปล้ำกับมัน

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึงคำถามของครูสอนภาษาไทยสมัยเด็ก เมื่อครูถามว่า ‘ในภาษาไทย คำที่ อ.อ่าง นำหน้า ย.ยักษ์ มีอะไรบ้าง?’ เด็กก็จะตอบตามที่ท่องจำไว้ ‘มี 4 คำ คือ อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก

ผมกำลังจะบอกว่า ตามประสบการณ์ของผม ‘อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก’ นี่แหละครับ คือหัวใจของพุทธศาสนา, คือหัวใจของการดำเนินชีวิตทุกอย่าง, และก็คือหัวใจของการฟิตภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน


ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ผมอยากจะชวนท่านอ่านนิทานเซ็นเรื่อง ‘ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละจะยิ่งช้า’ ซึ่งท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุได้เล่าไว้ ค่อย ๆ อ่านนะครับ ไม่ต้องรีบอ่านเดี๋ยวเนื้อหาดี ๆ จะหกหมด ตอนอ่านก็ให้ทำในใจว่า เรากำลังนั่งอยู่หน้าธรรมาศน์ที่อาจารย์พุทธทาสกำลังเทศนาสอนธรรม
คลิกอ่านได้เลยครับ:
http://www.buddhadasa.com/zen/zen09.html
อ่านจบแล้วนะครับ?

ผมคิดเลยไปว่า อาจจะมีบางอย่างที่นิทานไม่ได้เล่าไว้ เช่น การ lecture เทคนิคการฟันดาบให้ศิษย์ฟัง แต่นิทานเรื่องนี้ต้องการเน้นเรื่อง การทำทุกสิ่งด้วยจิตที่ว่างจากความรู้สึก ‘ตัวกู - ของกู’ หรือ ‘อย่าอยู่อย่างอยาก’ จึงเล่าเน้นเฉพาะบทสนทนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์ตอนเปิดเรื่อง และเหตุการณ์ตอนลูกศิษย์รับมืออาจารย์ในครัว

พูดถึงเรื่องรู้สึกใจร้อนตอนเรียนนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นกันทุกคน ผมก็เป็นครับ จึงต้องมีสติกำกับ, อย่างเช่นช่วงเวลา 30 นาทีแต่ละวันที่ผมอุทิศให้กับการฟังภาษาอังกฤษจากเว็บ ผมจะพยายามให้สมาธิทั้งหมด 100 % กับการฟังเสียงและทำความเข้าใจเรื่องที่กำลังฟัง(บางทีหลับตาขณะฟังด้วยซ้ำ) ถ้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องและเริ่มจะหงุดหงิดหรือรำคาญตัวเอง ผมก็ต้องรีบเตือนตัวเองว่า: อย่าไปเสีย % ของสมาธิให้กับการหงุดหงิด, ทุ่มสมาธิทั้งก้อน 100 % ให้กับการฟังดีกว่า, การ ‘ไม่รู้เรื่อง’ ไม่ได้แปลว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’, และถ้าเราใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ รู้เรื่องมากขึ้นเอง, แต่ทั้งนี้จะต้องไม่แบ่งสมาธิไปให้กับความรู้สึกใจร้อน – หงุดหงิด – รำคาญ ซึ่งเป็นเรื่องไร้ประโยชน์

ผมหวังที่จะให้ผู้อ่านของผมทุกคนฟิตภาษาอังกฤษอย่างได้ผลและมีความสุข คือมีทั้งความพากเพียรและความพอใจ มีทั้งวิริยะและสันโดษ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ในเมื่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง เราก็ต้องอย่าเรียนอย่างใจร้อน หรืออย่าอยู่อย่างอยากนั่นเอง

บางท่านอาจจะบอกว่า ทำไมเราเรียนได้ช้าจัง แต่บางคนเขาเรียนได้เร็วจัง ผมขอบอกเหมือนเดิมว่า ให้ตั้งเป้าหมายที่ดีเอาไว้ และก็พยายามไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ต้องร้อนใจ – ไม่ต้องใจร้อน และการที่คนเราเรียนได้เร็วช้าต่างกัน นอกจากเกิดจากความพยายามในปัจจุบันแล้ว มันก็คงจะเกิดจากกรรมเก่าในอดีตด้วย คำว่า ‘อดีต’ ในที่นี้ ก็รวมหมดเลยครับ ทั้งอดีตสมัยอยู่ชั้นอนุบาล-ประถม-มัธยม-มหาวิทยาลัย-เรียนจบแล้ว หรืออาจจะย้อนไปไกลถึงชาติที่แล้ว ถ้าในอดีตเราเคยฟิตไว้ดีปัจจุบันก็คงได้อานิสงส์ดีจากอดีตที่เราอุตส่าห์เพียรไว้

แต่... แต่... แต่อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ทำในปัจจุบันนี่แหละครับให้มันดีและก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะดีเอง เพราะเหตุดีย่อมนำไปสู่ผลที่ดี

ท่านผู้อ่านเคยเดินขึ้นภูกระดึงไหมครับ ผมเองอายุขนาดนี้แล้วเพิ่งเดินขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ระยะทาง 9 กิโลเมตร บางช่วงก็เดินสบาย แต่บางช่วงก็ขรุขระมาก ชันมาก ผมใช้เวลาเดินขึ้น(รวมเวลาพักกินข้าวกลางวันริมทางด้วย) ประมาณ 6 ชั่วโมง

ผมอยากจะเปรียบเทียบการฟิตภาษาอังกฤษเหมือนกับการเดินขึ้นภูกระดึง แน่นอนครับ มันไม่ใช่ของง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม บางคนมีเวลาแต่ก็ไม่กล้าไปเดินขึ้นภูกระดึงเพราะเคยได้ยินคนพูดไว้ว่าเส้นทางโหดเลยไม่กล้าไปเดิน ส่วนบางคนที่ใจกล้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุเยอะแล้ว หลายคนใจร้อน เดินจ้วงเอา ๆ จะให้ถึงยอดภูเร็ว ๆ บางคนถึงขั้นเดี้ยงเดินไปไม่รอดต้องเดินกลับตีนดอย ส่วนบางคนก็เดินไปบ่นไป เมื่อไหร่จะถึงสักที ถ้าบ่นด้วยปากก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าบ่นด้วยใจก็ต้องถือว่าเป็นการเดินขึ้นภูที่ผิดวิธี

เพราะจริง ๆ แล้ว เมื่อเราไปเที่ยวภูกระดึง เราต้องพิชิตให้ได้ทั้งเส้นทางภายนอกและความสุขภายใน และภูกระดึงก็คือภูทั้งภู มิใช่เพียงยอดภูที่ปลายทาง เพราะฉะนั้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เราออกเดินเราก็ถึงภูกระดึงแล้ว ถึงทีละน้อย ถึงทีละก้าว และความสุขจากการเดินภูก็มิใช่ได้รับเมื่อไปถึงยอดภูเท่านั้น แต่ล้วนมีอยู่ทั้งสองข้างทางที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินขึ้นไป ถ้าไม่รีบเกินไป ไม่ใจร้อนเกินไปก็จะเห็นว่า ดงไม้ป่าเขาตลอดเส้นทางก็ล้วนมีความงามให้ชื่นชม เราจึงได้รับทั้งความสำเร็จและความสุขทุกย่างก้าวของการเดินขึ้นภูกระดึง

การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เราไม่ควรจะใจแคบมองความสำเร็จและความสุขเฉพาะเมื่อเราสามารถพูดได้คล่องปรื๋อเหมือนคนไทยที่ไปเกิดเมืองนอก, หรือสามารถเขียนได้คล่องเหมือนคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ฝรั่ง เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถเรียนภาษาอังกฤษอย่างพากเพียร-ใจเย็น-และเป็นสุข ได้ทุกวัน และพบความสำเร็จที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นกัน

นี่เป็นวิธีเรียนภาษาอังกฤษที่ผมใช้ฝึกตัวเองและต้องการแบ่งปันกับท่านผู้อ่านทุกท่าน

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

9 ความคิดเห็น:

KAE กล่าวว่า...

เยี่มครับค่อยๆทำอย่างตั้งใจ และไม่หยุดที่จะฝึกฝน มันต้องสำเร็จจนได้ ผมก็เชื่ออย่างนั้น

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆครับ

ขอบคุณ

Easy English in my Style กล่าวว่า...

คุณพิพัฒน์นี่เยี่ยมเลยครับ เป็นนักปรัชญาอย่างแท้จริง ผมขอให้ท่านเป็น idol ทางด้านความคิดผมอีกคนนะครับ...

Vivian กล่าวว่า...

หนูกำลังแย่มากเลยกับภาษาอังกฤษ ไม่ใช่แต่ภาษาอังกฤษนะคะ การเรียนทุกอย่างเลยตอนนี้ ทำไมไม่มีความสุข หนูเป็นคนชอบเรียนหนีงสือชอบอ่านและทำเกรดได้ดีตลอด จะอยู่อันดับหนึ่ง สอง สาม แต่ไม่เคยคิดจะเเข่งขันกะใคร แต่เรียนๆๆๆๆเพราะชอบ เรียนหนักๆยิ่งชอบ หนูจบ ม.สาม ก็ต่อสายอาชีพที่เป็น รร.กึ่งนานาชาติที่เค้าเน้นภาษา ซึ่งหนูก็เรียนได้ ช่วงนั้นพูดได้สองภาษาคือ ญี่ปุ่นและอังกฤษ พูดคุยได้อย่างคล่อง แบบว่าไปเมืองไม่อดตาย หนูมีความสุขมากในการเรียนภาษาและตั้งใจจะเรียนหลายๆภาษา เพราะว่าชอบพูดชอบและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆของประเทศอื่นด้วย ก็เรียนหนักมาตลอด ภาษาญี่ปุ่นนี้เรียนวันละแปดชั่วโมง แต่ภาษาอังกฤษก็เรียนทุกวันทุกคาบของการเรียนอยู่แล้ว หนูภูมิใจมากเลย เวลาเจอคนต่างชาติก็เข้าไปคุย ได้รับแต่คำชม และก็ทำให้มีความฝันมากมาย อยากเป็นทูตการค้า แต่พอมาเข้ามหาลัย ทุกอย่างกับพังหมด ทำไมเรียนไม่หนุก ไม่อยากมาเรียน จากคนที่ชอบเรียนกับเบื่อ จนหนูไม่สามารถพูดมันได้อีกแล้ว แม้จะเขียนไดอารี่ที่เคยเขียนเป็นอังฤษก็เขียนไม่ได้ หนูชอบเขียนเรียงงความก็เขียนไม่ได้ ทุกอย่างตอนนี้ไม่ดีเลย มหาลัยนี้หนูไม่ชอบมาก ไม่อาจารย์ที่สอนด้วย คิดถึงอาจารย์คนเก่า ทำไมอาจารย์มหาลัยไม่เหมือนอาจารย์ที่ รร เก่า ที่ รร เก่า เป็นเอกชนด้วยบางทีหนูชอบเเบบนั้นมั้ง ทุกวันนี้ท้อแท้ความฝันก้อเลิกล้ม จนเคยคิดฆ่าตัวตายแต่ไม่กล้า ปรึกษาใครก็ไม่ได้ไม่มีใครเข้าใจ เจอแต่คำพูดว่า "จะรีบร้อนทำไม พึ่งจะปีสอง" "เรียนไปเถอะนะ ให้มันจบๆ" ไม่ก็ "ก็ซิ่วสิไปเรียนใหม่" ไม่มีใครเข้าใจ ความรู้ความรักที่มีในการเรียนมันหายไปแล้ว เป้าหมายก็หายไป ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครช่วย มีปัญหามากมายในมหาลัย หนูคิดอยากตายหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คิดถึงพ่อแม่ อายคนอื่น อยากกลับไป รร.เก่าก็อาย ทำไงดี
ojamache_imp@hotmail.com ถ้าหากคุณเห็นเมลของหนูก้อรับแอดหน่อยนะคะ หนูอยากให้คุณช่วยอย่างน้อยช่วยกระตุ้นหนู หรือไม่ก้อมีใครเข้าใจหนูบ้าง
ขอบคุณค่ะ

pipat - blogger กล่าวว่า...

Vivian
เมื่ออ่านข้อความของหนู พี่กำลังจัดกระเป๋าเดินทาง พรุ่งนี้เช้าตี 5 ต้องไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิจะไปธุระที่แคนาดา กลับวันที่ 9 กันยาฯ

ขอพูดสั้น ๆ ก่อนดังนี้

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับใจของหนูทุกวันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ 100 % เพราะชีวิตคนเรานั้น บางครั้งบางคราวก็มีเรื่องทุกข์ ไม่สบายใจ กลุ้มใจ อยากหนีไปให้พ้นภาวะที่ประสบ ต้องบอกว่าภาวะเช่นนี้ใคร ๆ ก็เป็น ถือว่าเป็นเรื่องที่ completely normal เพราะฉะนั้น ชีวิตจิตใจที่ทุกข์บ้างสุขบ้างนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ไม่เคยทุกข์ ไม่เคยโศก ไม่เคยกลุ้ม ไม่เคยกังวล ไม่เคยท้อ ปีทั้งปีมีแต่ความสุขสงบ คน ๆ นั้นค่อนข้างจะผิดปกติ เพราะฉะนั้นหนู Vivian เป็นคนปกติ ก็คือว่า อาการผิดปกติในใจที่หนูประสบขณะนี้ก็ต้องถือว่าเป็นภาวะปกติ

หนูเคยปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน ปวดเมื่อย ไหม? เคยแน่ ๆ แต่ก็คงแค่ปวด ไม่ถึงกับกลุ้ม เพราะหนูรู้ว่าถึงอย่างไรก็คงหายปวด ไม่ช้าก็เร็ว

ความทุกข์ใจที่หนูประสบทุกวันนี้ก็เช่นกัน มันคือความผิดปกติของจิตใจ มันคือความปวดใจที่ไม่ต่างจากปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน ปวดเมื่อย ฯลฯ หนูไม่ต้องใจร้อน และก็ไม่ต้องไล่มันให้ไปพ้นใจเร็ว ๆ หรอก

ขอให้ถือเอาช่วงเวลานี้เป็นการดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในจิตใจ เคยดูหนังข้างนอกมามากแล้ว ลองดูหนังในใจตัวเองบ้าง

สิ่งที่พี่ต้องการบอกก็คือ หนังทุกเรื่องมีเวลาจบของมัน ต่อให้สนุกแค่ไหนและเราไม่อยากให้มันจบ แต่เมื่อถึงเวลามันก็ต้องจบ

แล้วเราก็ดูหนังเรื่องใหม่ แต่เมื่อดูไปมากเข้า ๆ หลายสิบหลายร้อยเรื่อง ก็จะถึงวันหนึ่งที่เราเบื่อดู

มันก็เหมือนความรู้สึกในใจหนูนี่แหละ เราอาจจะชอบมัน เราอาจจะเกลียดมัน แต่ไม่ว่าจะชอบหรือเกลียด มันก็มีวันมีเวลาจบสิ้นของมัน

ขอให้ดูหนังในใจเรื่องปัจจุบันให้สนุกนะ ไม่ต้องไป "in" กับมันให้มากนักหรอก วันไหนที่ดูหนังจบเขียนมาเล่าอีกนะ
พี่พิพัฒน์

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับสาระดีๆที่แบ่งปัน :D

Jane กล่าวว่า...

หนูขออนุโมทนาในบุญที่คุณพิพัฒน์ทำด้วยนะค่ะ
หนูอยากเก่งภาษาอังกฤษ มาก ถึงมากที่สุดในโลก
อยากนำมันไปใช้ประโยชน์ให้ตัวเอง และผู้อื่น

pipat - blogger กล่าวว่า...

Jane
ลองเลือกอ่านเรื่องที่สนใจจากลิงค์นี้ดูนะ
คำแนะนำ / คุยกับผู้อ่าน

Unknown กล่าวว่า...

สาธุ ๆ ๆ ในธรรมครับ