สวัสดีครับ
ผมขอเชิญพ่อแม่ทุกท่านที่มีลูกหลานตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดเรียน A, B, C….ชวนลูกหลานของท่านเข้าไปเล่น 3 เว็บข้างล่างนี้ รับรองเจ้าตัวเล็กสามารถเรียน A, B, C, D…. ถึง Z ได้อย่างเพลิดเพลินทีเดียวครับ
http://www.ngfl-cymru.org.uk/vtc/ngfl/ngfl-flash/alphabet-eng/alphabet.htm
http://www.lettertv.net/pages/audioalpha.htm
http://www.yindii.com/kids/dictionary/index.htm (คลิกที่ A B C D…)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[218]คำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษของคุณจักรภพ เพ็ญแข
สวัสดีครับ
ผมนำคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษของคุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ประชุมชมรมนักข่าวต่างประเทศ กันยายน 2550 มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน ต้นฉบับเดิมที่ผมได้รับมามีการเน้นข้อความ โดยทำเป็นตัวดำและขีดเส้นใต้ แต่ผมได้เอาออกทั้งการเน้นดำและขีดเส้นใต้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้อ่านด้วยวินิจฉัยที่เป็นอิสระ
ทุกคำศัพท์ในบทความข้างล่างนี้ เมื่อดับเบิ้ลคลิก จะปรากฏคำแปลศัพท์ในหน้าต่างใหม่ จาก English - English Dictionary ขอเชิญอ่านเพื่อศึกษาได้เลยครับ... คลิกอ่านต่อ
ผมนำคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษของคุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ประชุมชมรมนักข่าวต่างประเทศ กันยายน 2550 มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน ต้นฉบับเดิมที่ผมได้รับมามีการเน้นข้อความ โดยทำเป็นตัวดำและขีดเส้นใต้ แต่ผมได้เอาออกทั้งการเน้นดำและขีดเส้นใต้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้อ่านด้วยวินิจฉัยที่เป็นอิสระ
ทุกคำศัพท์ในบทความข้างล่างนี้ เมื่อดับเบิ้ลคลิก จะปรากฏคำแปลศัพท์ในหน้าต่างใหม่ จาก English - English Dictionary ขอเชิญอ่านเพื่อศึกษาได้เลยครับ... คลิกอ่านต่อ
[217]ดาวน์โหลดแบบฝึกหัด ภ.อังกฤษกว่า 700 ไฟล์ (pdf)
เพิ่ม 11 ตค 52
เข้าไปหาได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
Free Online Exercises
Grammar Exercises
Vocabulary Exercises
Pronunciation Exercises
Video Slide Lessons
Self-Grading Quizzes
* * * * *
สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้มีไฟล์ pdf มากมายให้ทุกท่านไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรืออาจารย์สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพื่อใช้ในการศึกษาภาษาอังกฤษ หรือใช้เป็นสื่อการสอนก็ได้http://www.englishmedialab.com/downloads.html
ลักษณะที่ดีมาก ๆ ของไฟล์ก็คือ
1. เป็นไฟล์ pdf ซึ่งง่ายต่อการ print ออกมาศึกษา
2. เนื้อหาง่าย และมีหลากหลายรูปแบบ ให้ความเพลิดเพลินในการเรียน หรือเล่นก็ได้ และมีรูปแบบที่เรียนหรือเล่นได้ไม่น่าเบื่อ
3. ครูที่สอนภาษาอังกฤษ สามารถเลือกใช้ไฟล์กว่า 700 ไฟล์เหล่านี้เป็นสื่อการสอนได้อย่างดีมาก ดีจริง ๆ นะครับไม่ได้พูดเล่น
4. ไฟล์ส่วนใหญ่มีเฉลย แต่ผมขอแนะน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ให้ทำแบบฝึกหัด หรือเล่นเกมตามไฟล์ pdf เหล่านี้ให้สุดความสามารถเสียก่อน คือทำให้ได้มากที่สุด และดีที่สุด หลังจากนี้จึงค่อยดูเฉลยซึ่งอยู่ในหน้าถัดไป การรีบดูเฉลยเร็วเกินไปโดยไม่ทำให้เต็มที่เสียก่อน ทำให้เราได้รับประโยชน์จากไฟล์เหล่านี้น้อยเกินไป จนอาจจะไม่คุ้มค่า การผ่านแบบฝึกหัดไปอย่างเร็ว ๆ โดยไม่ออกกำลังสมอง จะได้แต่ปริมาณแต่ไม่ได้คุณภาพของการเรียน ถ้าทำในคราวเดียวไม่จบก็มาทำต่อในคราวต่อไปก็ได้ แต่อย่าเพิ่งรีบดูเฉลย
ผมดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บนี้เก็บไว้กว่า 700 ไฟล์ ท่านสามารถดาวน์โหลดต่อไปได้เลยอย่างสะดวก ข้างล่างนี้
เชิญเลยครับ (คลิกขวาที่ลิงค์, คลิกซ้าย Save Target As.., หาที่ Save ไว้ในเครื่อง)
**** โปรดทราบ ผมถูกเจ้าของเว็บแจ้งมาว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ จึงต้องขอลบข้อมูลออกจาก Blog นี้****
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เข้าไปหาได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
Free Online Exercises
Grammar Exercises
Vocabulary Exercises
Pronunciation Exercises
Video Slide Lessons
Self-Grading Quizzes
* * * * *
สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้มีไฟล์ pdf มากมายให้ทุกท่านไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรืออาจารย์สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพื่อใช้ในการศึกษาภาษาอังกฤษ หรือใช้เป็นสื่อการสอนก็ได้http://www.englishmedialab.com/downloads.html
ลักษณะที่ดีมาก ๆ ของไฟล์ก็คือ
1. เป็นไฟล์ pdf ซึ่งง่ายต่อการ print ออกมาศึกษา
2. เนื้อหาง่าย และมีหลากหลายรูปแบบ ให้ความเพลิดเพลินในการเรียน หรือเล่นก็ได้ และมีรูปแบบที่เรียนหรือเล่นได้ไม่น่าเบื่อ
3. ครูที่สอนภาษาอังกฤษ สามารถเลือกใช้ไฟล์กว่า 700 ไฟล์เหล่านี้เป็นสื่อการสอนได้อย่างดีมาก ดีจริง ๆ นะครับไม่ได้พูดเล่น
4. ไฟล์ส่วนใหญ่มีเฉลย แต่ผมขอแนะน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ให้ทำแบบฝึกหัด หรือเล่นเกมตามไฟล์ pdf เหล่านี้ให้สุดความสามารถเสียก่อน คือทำให้ได้มากที่สุด และดีที่สุด หลังจากนี้จึงค่อยดูเฉลยซึ่งอยู่ในหน้าถัดไป การรีบดูเฉลยเร็วเกินไปโดยไม่ทำให้เต็มที่เสียก่อน ทำให้เราได้รับประโยชน์จากไฟล์เหล่านี้น้อยเกินไป จนอาจจะไม่คุ้มค่า การผ่านแบบฝึกหัดไปอย่างเร็ว ๆ โดยไม่ออกกำลังสมอง จะได้แต่ปริมาณแต่ไม่ได้คุณภาพของการเรียน ถ้าทำในคราวเดียวไม่จบก็มาทำต่อในคราวต่อไปก็ได้ แต่อย่าเพิ่งรีบดูเฉลย
ผมดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บนี้เก็บไว้กว่า 700 ไฟล์ ท่านสามารถดาวน์โหลดต่อไปได้เลยอย่างสะดวก ข้างล่างนี้
เชิญเลยครับ (คลิกขวาที่ลิงค์, คลิกซ้าย Save Target As.., หาที่ Save ไว้ในเครื่อง)
**** โปรดทราบ ผมถูกเจ้าของเว็บแจ้งมาว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ จึงต้องขอลบข้อมูลออกจาก Blog นี้****
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[216] เว็บดีเพื่อเด็ก
สวัสดีครับ
เว็บที่ฝรั่งทำขึ้นเพื่อให้เด็กเรียนวิชาต่าง ๆ อย่างรื่นเริงมีอยู่มากมาย เขาใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการทำให้เว็บน่าสนใจ และเด็กก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง หรืออยากจะเรียนรู้เองเพราะมันสนุก
การเรียนภาษาของเด็กก็เหมือนกับการเรียนวิชาอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การจำศัพท์ ถ้ามีวิธีทำให้เด็กจำ เด็กก็จะจำได้เร็วและจำได้นาน เพราะสมองของเด็กยังว่างและสะอาด ผมขอเล่าตัวอย่างของตัวเองให้ฟังเรื่องหนึ่งนะครับ
สมัยที่ผมยังเด็กมากๆอยู่ชั้นประถมต้น ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าลิปสติกคืออะไร เพราะเห็นพี่สาวและคนอื่น ๆ เขาใช้กัน วันหนึ่งครูสอนภาษาอังกฤษของผมก็สอนว่า พวกเธอรู้จักลิปสติกกันใช่ไหม ลิป(lip) ก็คือ ริมฝีปาก สติ๊ก (stick) ก็คือไม้เป็นแท่ง ลิปสติก ก็คือแท่งที่เอาไปถูริมฝีปาก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยลืมศัพท์ 2 ตัวนี้เลย คือ lip ที่แปลว่าริมฝีปาก และ stick ที่แปลว่าไม้แท่ง ๆ
ต่อมาครูท่านเดียวนี่แหละครับ สอนว่า พวกเธอทุกคนรู้จักตะเกียบกันทุกคนนะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ช็อปสติก, ช็อป ก็คือ shop ที่แปลว่า ร้านค้า สติ๊ก พวกเธอก็เรียนแล้วเมื่อวันก่อน แปลว่าไม้เป็นแท่ง เพราะฉะนั้น shopstick ก็คือ ไม้ที่อยู่ตามร้านขายก๋วยเตี๋ยว ก็คือตะเกียบนั่นเอง ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะครับว่า ในหมู่บ้านผมสมัยนั้น แต่ละบ้านคนไทยมีแต่ช้อนไม่มีตะเกียบ ตะเกียบจะมีก็แต่ที่ร้ายขายก๋วยเตี๋ยวของคนจีน พอครูอธิบายอย่างนี้ผมก็จำไว้อย่างมั่นคงเลยว่า ตะเกียบ หรือ ช็อปสติก เขียน shopstick
จนผมเริ่มโตเป็นหนุ่มนั่นแหละครับ ผมถึงได้มารู้ว่า ช็อปสติก ต้องเขียนว่า chopstick ไม่ใช่เขียน shopstick และ ช็อปสติก ไม่ได้แปลว่าไม้ที่อยู่ตามร้านขายก๋วยเตี๋ยว แม้ว่าจะเจออยู่ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ตาม
นี่แหละครับทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเริ่มไม่ดีในการจำศัพท์ ก็จะจำไปอย่างผิด ๆ หรือไม่ชอบจำศัพท์, แต่ถ้าเราทำให้เด็กชอบจำศัพท์ มีความสนุกในการจดจำศัพท์ และมีเทคนิคในการจำศัพท์ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ก็จะเป็นพื้นฐานที่ดีมากในการเพิ่มพูนคำศัพท์ต่อไปในอนาคต ทำให้การเรียนภาษาหรือการเรียนวิชาใด ๆ ก็ตามเป็นเรื่องง่ายขึ้น ผมเคยอ่านรายงานการวิจัยซึ่งระบุว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานมักจะมีคำศัพท์ที่จำได้-ใช้เป็น มากกว่าคนอื่น ๆ ผมเชื่อผลการวิจัยเรื่องนี้ ที่เชื่อไม่ได้เพราะผมชอบจำศัพท์ แต่เชื่อเพราะมีเหตุผลที่มองเห็นได้ว่า คำศัพท์ 1 คำ ก็คือหีบบรรจุความรู้ 1 หีบ การรู้คำศัพท์มาก ๆ ก็คือการสะสมความรู้ไว้มาก ๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้อะไรต่ออะไรมากมายต่อไปในโลกนี้
ผมจึงชื่นชมเว็บที่ฝรั่งเขาทำขึ้นเพื่อช่วยให้เด็กจดจำคำศัพท์ และวันนี้ผมขอยกตัวอย่างสัก 2 เว็บ
เว็บที่ 1: http://pbskids.org/lions/games/wordplay.html มีคำกริยา (verb) 25 คำให้เล่น แบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ
ชุดที่ 1 มี 9 คำคือ: vanish=อันตรธานหายไป, open=เปิด, shrink= หดลง, melt=ละลาย, bounce=กระดอน, peel=ปอกเปลือก, erase=ถูลบให้หายไป, grin= ยิงฟันยิ้ม, pop=เกิดเสียงปะทุดังป๊อบ
ชุดที่ 2 มี 8 คำคือ: knock=เคาะ, draw= ลากเส้น, stack= กองทับกัน, flip=พลิกกลับหน้ากลับหลัง, push=ผลัก, roar=คำราม, squeeze=บีบ, leap=กระโดด
ชุดที่ 3 มี 8 คำคือ: hop=กระโดดข้าม, grow= โตขึ้น, break= แตก, stretch=ยืด ขยาย, spin= หมุน ปั่น, float=ลอยตัว, copy=ลอกแบบ, shake=เขย่า
เมื่อท่านเล่นแล้วลองคิดถึงเด็กดูซีครับ ว่าเขาจะจำศัพท์พวกนี้ได้ง่ายดายขนาดไหน คือได้เห็นทั้งตัวอักษร ได้ฟังทั้งเสียงอ่าน ได้เห็น animation ที่แสดงความหมายของคำศัพท์ ยิ่งถ้ามีผู้ใหญ่คอยอธิบายอยู่ใกล้ ๆ ก็แทบจะจำได้ทันทีเลย
เว็บที่ 2: ผมเคยอธิบายไว้แล้วที่ ลิงค์นี้ ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ เป็นการเรียนรู้คำศัพท์ที่น่าสนุกมาก
ผมได้รวบรวมเว็บดี ๆ ที่ช่วยเด็กในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งรวมทั้งคำศัพท์ด้วย ไว้ที่ลิงค์นี้
แต่การใช้เว็บพวกนี้ก็มีปัญหาอย่างหนึ่ง คือ ในการทำเว็บเพื่อการศึกษาให้เด็กสนใจนั้น ต้องใช้ animation หรือ multimedia มาก ๆ จึงต้องเป็นคอมพิวเตอร์ที่มี RAM สูง ๆ ถ้า RAM ต่ำ ๆ ก็เล่น animation ได้ไม่ดี ต้องรอนาน หรือติด ๆ ขัด ๆ หรือเล่นไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ท่านใดมีบุตรหลาน ว่าง ๆ ลองลุยเข้าไปใน เว็บเหล่านี้ ดูก็ดีครับ ผมเชื่อว่าท่านต้องได้อะไรติดมือกลับออกมาฝากลูกหลานของท่านแน่ เป็นการช่วยกันฟิตภาษาอังกฤษทั้งบ้าน สนุกและได้ประโยชน์ด้วยครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เว็บที่ฝรั่งทำขึ้นเพื่อให้เด็กเรียนวิชาต่าง ๆ อย่างรื่นเริงมีอยู่มากมาย เขาใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการทำให้เว็บน่าสนใจ และเด็กก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง หรืออยากจะเรียนรู้เองเพราะมันสนุก
การเรียนภาษาของเด็กก็เหมือนกับการเรียนวิชาอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การจำศัพท์ ถ้ามีวิธีทำให้เด็กจำ เด็กก็จะจำได้เร็วและจำได้นาน เพราะสมองของเด็กยังว่างและสะอาด ผมขอเล่าตัวอย่างของตัวเองให้ฟังเรื่องหนึ่งนะครับ
สมัยที่ผมยังเด็กมากๆอยู่ชั้นประถมต้น ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าลิปสติกคืออะไร เพราะเห็นพี่สาวและคนอื่น ๆ เขาใช้กัน วันหนึ่งครูสอนภาษาอังกฤษของผมก็สอนว่า พวกเธอรู้จักลิปสติกกันใช่ไหม ลิป(lip) ก็คือ ริมฝีปาก สติ๊ก (stick) ก็คือไม้เป็นแท่ง ลิปสติก ก็คือแท่งที่เอาไปถูริมฝีปาก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยลืมศัพท์ 2 ตัวนี้เลย คือ lip ที่แปลว่าริมฝีปาก และ stick ที่แปลว่าไม้แท่ง ๆ
ต่อมาครูท่านเดียวนี่แหละครับ สอนว่า พวกเธอทุกคนรู้จักตะเกียบกันทุกคนนะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ช็อปสติก, ช็อป ก็คือ shop ที่แปลว่า ร้านค้า สติ๊ก พวกเธอก็เรียนแล้วเมื่อวันก่อน แปลว่าไม้เป็นแท่ง เพราะฉะนั้น shopstick ก็คือ ไม้ที่อยู่ตามร้านขายก๋วยเตี๋ยว ก็คือตะเกียบนั่นเอง ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะครับว่า ในหมู่บ้านผมสมัยนั้น แต่ละบ้านคนไทยมีแต่ช้อนไม่มีตะเกียบ ตะเกียบจะมีก็แต่ที่ร้ายขายก๋วยเตี๋ยวของคนจีน พอครูอธิบายอย่างนี้ผมก็จำไว้อย่างมั่นคงเลยว่า ตะเกียบ หรือ ช็อปสติก เขียน shopstick
จนผมเริ่มโตเป็นหนุ่มนั่นแหละครับ ผมถึงได้มารู้ว่า ช็อปสติก ต้องเขียนว่า chopstick ไม่ใช่เขียน shopstick และ ช็อปสติก ไม่ได้แปลว่าไม้ที่อยู่ตามร้านขายก๋วยเตี๋ยว แม้ว่าจะเจออยู่ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ตาม
นี่แหละครับทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเริ่มไม่ดีในการจำศัพท์ ก็จะจำไปอย่างผิด ๆ หรือไม่ชอบจำศัพท์, แต่ถ้าเราทำให้เด็กชอบจำศัพท์ มีความสนุกในการจดจำศัพท์ และมีเทคนิคในการจำศัพท์ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ก็จะเป็นพื้นฐานที่ดีมากในการเพิ่มพูนคำศัพท์ต่อไปในอนาคต ทำให้การเรียนภาษาหรือการเรียนวิชาใด ๆ ก็ตามเป็นเรื่องง่ายขึ้น ผมเคยอ่านรายงานการวิจัยซึ่งระบุว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานมักจะมีคำศัพท์ที่จำได้-ใช้เป็น มากกว่าคนอื่น ๆ ผมเชื่อผลการวิจัยเรื่องนี้ ที่เชื่อไม่ได้เพราะผมชอบจำศัพท์ แต่เชื่อเพราะมีเหตุผลที่มองเห็นได้ว่า คำศัพท์ 1 คำ ก็คือหีบบรรจุความรู้ 1 หีบ การรู้คำศัพท์มาก ๆ ก็คือการสะสมความรู้ไว้มาก ๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้อะไรต่ออะไรมากมายต่อไปในโลกนี้
ผมจึงชื่นชมเว็บที่ฝรั่งเขาทำขึ้นเพื่อช่วยให้เด็กจดจำคำศัพท์ และวันนี้ผมขอยกตัวอย่างสัก 2 เว็บ
เว็บที่ 1: http://pbskids.org/lions/games/wordplay.html มีคำกริยา (verb) 25 คำให้เล่น แบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ
ชุดที่ 1 มี 9 คำคือ: vanish=อันตรธานหายไป, open=เปิด, shrink= หดลง, melt=ละลาย, bounce=กระดอน, peel=ปอกเปลือก, erase=ถูลบให้หายไป, grin= ยิงฟันยิ้ม, pop=เกิดเสียงปะทุดังป๊อบ
ชุดที่ 2 มี 8 คำคือ: knock=เคาะ, draw= ลากเส้น, stack= กองทับกัน, flip=พลิกกลับหน้ากลับหลัง, push=ผลัก, roar=คำราม, squeeze=บีบ, leap=กระโดด
ชุดที่ 3 มี 8 คำคือ: hop=กระโดดข้าม, grow= โตขึ้น, break= แตก, stretch=ยืด ขยาย, spin= หมุน ปั่น, float=ลอยตัว, copy=ลอกแบบ, shake=เขย่า
เมื่อท่านเล่นแล้วลองคิดถึงเด็กดูซีครับ ว่าเขาจะจำศัพท์พวกนี้ได้ง่ายดายขนาดไหน คือได้เห็นทั้งตัวอักษร ได้ฟังทั้งเสียงอ่าน ได้เห็น animation ที่แสดงความหมายของคำศัพท์ ยิ่งถ้ามีผู้ใหญ่คอยอธิบายอยู่ใกล้ ๆ ก็แทบจะจำได้ทันทีเลย
เว็บที่ 2: ผมเคยอธิบายไว้แล้วที่ ลิงค์นี้ ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ เป็นการเรียนรู้คำศัพท์ที่น่าสนุกมาก
ผมได้รวบรวมเว็บดี ๆ ที่ช่วยเด็กในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งรวมทั้งคำศัพท์ด้วย ไว้ที่ลิงค์นี้
แต่การใช้เว็บพวกนี้ก็มีปัญหาอย่างหนึ่ง คือ ในการทำเว็บเพื่อการศึกษาให้เด็กสนใจนั้น ต้องใช้ animation หรือ multimedia มาก ๆ จึงต้องเป็นคอมพิวเตอร์ที่มี RAM สูง ๆ ถ้า RAM ต่ำ ๆ ก็เล่น animation ได้ไม่ดี ต้องรอนาน หรือติด ๆ ขัด ๆ หรือเล่นไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ท่านใดมีบุตรหลาน ว่าง ๆ ลองลุยเข้าไปใน เว็บเหล่านี้ ดูก็ดีครับ ผมเชื่อว่าท่านต้องได้อะไรติดมือกลับออกมาฝากลูกหลานของท่านแน่ เป็นการช่วยกันฟิตภาษาอังกฤษทั้งบ้าน สนุกและได้ประโยชน์ด้วยครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[215] ดาวน์โหลดไฟล์ mp3 basic conversation 10 บท
สวัสดีครับ
วันนี้ผมมีไฟล์บทสนทนามาให้ท่านฝึก 10 บท มีทั้งไฟล์ข้อความให้ท่านอ่าน และไฟล์ mp 3 ให้ท่านฟัง ท่านจะอ่านก่อนฟัง – ฟังก่อนอ่าน – หรืออ่านพร้อมฟังก็ทำได้ตามสะดวก แต่จะให้ดีควรอ่านคำแนะนำที่เขาแจ้งไว้ในแต่ละบทก่อน
ที่เรียกว่า basic ก็เพราะ พูดช้า ศัพท์พื้นฐาน ง่าย ๆ ทั้งนั้น แล้วมีแบบฝึกหัดให้ฝึกพูดตามไปด้วย
ไปที่เว็บนี้ครับ:http://www.eltpodcast.com/archive/bc
[คลิกที่ลิงค์เพื่ออ่าน, และเมื่อเข้าไปแล้ว ถ้าจะฟัง online ก็คลิกซ้าย Listen, ถ้าจะดาวน์โหลดไฟล์ mp3 แต่ละบทก็คลิกขวาที่ Listen-คลิกซ้าย Save Target As.. และหาที่ Save ไว้ในเครื่องคอมฯ
หรือถ้าต้องการ Save ทั้งไฟล์ข้อความและไฟล์ mp3 ทั้ง 10 บททีเดียวเลย ก็ คลิกที่นี่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาดาวน์โหลดนานหน่อย (13.5 MB)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันนี้ผมมีไฟล์บทสนทนามาให้ท่านฝึก 10 บท มีทั้งไฟล์ข้อความให้ท่านอ่าน และไฟล์ mp 3 ให้ท่านฟัง ท่านจะอ่านก่อนฟัง – ฟังก่อนอ่าน – หรืออ่านพร้อมฟังก็ทำได้ตามสะดวก แต่จะให้ดีควรอ่านคำแนะนำที่เขาแจ้งไว้ในแต่ละบทก่อน
ที่เรียกว่า basic ก็เพราะ พูดช้า ศัพท์พื้นฐาน ง่าย ๆ ทั้งนั้น แล้วมีแบบฝึกหัดให้ฝึกพูดตามไปด้วย
ไปที่เว็บนี้ครับ:http://www.eltpodcast.com/archive/bc
[คลิกที่ลิงค์เพื่ออ่าน, และเมื่อเข้าไปแล้ว ถ้าจะฟัง online ก็คลิกซ้าย Listen, ถ้าจะดาวน์โหลดไฟล์ mp3 แต่ละบทก็คลิกขวาที่ Listen-คลิกซ้าย Save Target As.. และหาที่ Save ไว้ในเครื่องคอมฯ
หรือถ้าต้องการ Save ทั้งไฟล์ข้อความและไฟล์ mp3 ทั้ง 10 บททีเดียวเลย ก็ คลิกที่นี่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาดาวน์โหลดนานหน่อย (13.5 MB)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[214] ภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์
สวัสดีครับ
ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “คู่มือศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับการท่องเที่ยว โดยชุมชน” จัดพิมพ์โดย “การท่องเทีี่ยวโดยชุุมชนในบริิเวณอัันดามัันตอนเหนืือ” เขาเขียนไว้ในคำนำว่า...
ถึงแม้ว่าการสื่อสารด้วยภาษาจะเป็นอุปสรรคก็ตาม แต่ถ้าเรา
พยายามสื่อสารกัน ก็ย่อมทำให้เราเกิดประสบการณ์ที่ดีและ
สนุกสนานได้ การสื่อสารด้วยกิริยาท่าทางก็สามารถทำให้เรา
เข้าใจกันได้ และการพยายามเรียนรู้ซึ่งกันและกันย่อม
ก่อให้เกิดความประทับใจ
คู่มือเล่มนี้ มีขึ้นเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างเจ้าของบ้านพัก
โฮมสเตย์ และผู้มาเยือนชาวต่างชาติ ก่อให้เกิดความ
ประทับใจในการมาเยือน เราหวังว่าคู่มือเล่มนี้คงก่อประโยชน์
ให้แก่ท่านบ้างในการสื่อสารกับผู้มาเยือน
ผมอ่านดูแล้วพบว่า แม้คำศัพท์ – วลี – ประโยค (ซึ่งเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยไว้ให้ด้วย) จะรวบรวมไว้เพื่อเจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์ แต่จริง ๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสนทนา
ท่านดูสารบัญข้างล่างนี้ก็จะเห็นได้ว่ามีประโยชน์มาก
การทักทายและแนะนำ -------------------------- 5
การสนทนา & วลีที่จำเป็น----------------------- 7
ภาษาในการสื่อสาร ---------------------------- 10
กิจกรรมต่างๆ ------------------------------- 11
ที่บ้านพักโฮมสเตย์----------------------------- 12
ทิศทาง ------------------------------------- 14
สุขภาพและเหตุฉุกเฉิน -------------------------- 15
ครอบครัว----------------------------------- 16
สิ่งที่พบเห็น---------------------------------- 18
เกี่ยวกับการกิน------------------------------- 19
กับข้าว ------------------------------------- 22
วันและเวลา ---------------------------------- 23
จำนวน ------------------------------------- 26
อ่านหนังสือ: คลิก
แถม: คำอ่านประโยคสนทนา ไทย - อังกฤษ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “คู่มือศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับการท่องเที่ยว โดยชุมชน” จัดพิมพ์โดย “การท่องเทีี่ยวโดยชุุมชนในบริิเวณอัันดามัันตอนเหนืือ” เขาเขียนไว้ในคำนำว่า...
ถึงแม้ว่าการสื่อสารด้วยภาษาจะเป็นอุปสรรคก็ตาม แต่ถ้าเรา
พยายามสื่อสารกัน ก็ย่อมทำให้เราเกิดประสบการณ์ที่ดีและ
สนุกสนานได้ การสื่อสารด้วยกิริยาท่าทางก็สามารถทำให้เรา
เข้าใจกันได้ และการพยายามเรียนรู้ซึ่งกันและกันย่อม
ก่อให้เกิดความประทับใจ
คู่มือเล่มนี้ มีขึ้นเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างเจ้าของบ้านพัก
โฮมสเตย์ และผู้มาเยือนชาวต่างชาติ ก่อให้เกิดความ
ประทับใจในการมาเยือน เราหวังว่าคู่มือเล่มนี้คงก่อประโยชน์
ให้แก่ท่านบ้างในการสื่อสารกับผู้มาเยือน
ผมอ่านดูแล้วพบว่า แม้คำศัพท์ – วลี – ประโยค (ซึ่งเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยไว้ให้ด้วย) จะรวบรวมไว้เพื่อเจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์ แต่จริง ๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสนทนา
ท่านดูสารบัญข้างล่างนี้ก็จะเห็นได้ว่ามีประโยชน์มาก
การทักทายและแนะนำ -------------------------- 5
การสนทนา & วลีที่จำเป็น----------------------- 7
ภาษาในการสื่อสาร ---------------------------- 10
กิจกรรมต่างๆ ------------------------------- 11
ที่บ้านพักโฮมสเตย์----------------------------- 12
ทิศทาง ------------------------------------- 14
สุขภาพและเหตุฉุกเฉิน -------------------------- 15
ครอบครัว----------------------------------- 16
สิ่งที่พบเห็น---------------------------------- 18
เกี่ยวกับการกิน------------------------------- 19
กับข้าว ------------------------------------- 22
วันและเวลา ---------------------------------- 23
จำนวน ------------------------------------- 26
อ่านหนังสือ: คลิก
แถม: คำอ่านประโยคสนทนา ไทย - อังกฤษ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[212] เชิญดาวน์โหลดหนังสือ “พบหมอศิริราช”
สวัสดีครับ
ผมไปพบ “พบหมอศิริราช” ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทโทรทัศน์ ที่ได้เผยแพร่ออกอากาศไปแล้ว ในช่วงปี 2545 – 2548 รวมจำนวน 60 ตอน
เนื้อหาประกอบด้วยเรื่อง: ตา, ฟัน, มะเร็ง, โภชนาการ, ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ, ระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสึม, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบประสาทและสมอง, ระบบหัวใจและหลอดเลือด, ระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบอวัยวะสืบพันธุ์หญิงและการตั้งครรภ์, ระบบอื่น ๆ, รักษ์สุขภาพ
เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากครับ (ขนาด 1.72 MB)
เชิญคลิกดาวน์โหลด
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมไปพบ “พบหมอศิริราช” ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทโทรทัศน์ ที่ได้เผยแพร่ออกอากาศไปแล้ว ในช่วงปี 2545 – 2548 รวมจำนวน 60 ตอน
เนื้อหาประกอบด้วยเรื่อง: ตา, ฟัน, มะเร็ง, โภชนาการ, ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ, ระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสึม, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ระบบทางเดินหายใจ, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบประสาทและสมอง, ระบบหัวใจและหลอดเลือด, ระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบอวัยวะสืบพันธุ์หญิงและการตั้งครรภ์, ระบบอื่น ๆ, รักษ์สุขภาพ
เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากครับ (ขนาด 1.72 MB)
เชิญคลิกดาวน์โหลด
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[211]ไม่ควรเรียนภาษาอังกฤษ แบบ ‘ยิ่งรีบ - ยิ่งช้า’
สวัสดีครับ
บ่อยครั้งที่ท่านผู้อ่านถามมาว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลเร็ว ๆ, มีทางลัดในการเรียนอย่างไรหรือไม่, จะต้องทำยังไงที่จะพูดให้ได้เพื่อเอาไปสอบสัมภาษณ์เดือนหน้า, ทิ้งภาษาอังกฤษมานานแล้วทำอย่างไรจึงจะฟื้นได้เร็ว ๆ เพราะงานในตำแหน่งใหม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ, หรือคำถามอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันนี้
อันดับแรกก็ต้องบอกว่า ผมชื่นชมทุกท่านที่ถามคำถามเหล่านี้ เพราะนี่แสดงว่าท่านใฝ่ใจที่จะทำให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ เพื่อให้ภาษาอังกฤษช่วยพัฒนาการงานและชีวิตของท่าน และท่านก็มีเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ได้เร็วที่สุด
พอมองแง่นี้ก็จะเห็นว่า การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ต่างจากสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต คือ เราต้องการจะมีหรือได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เราจึงตั้งเป้าหมาย และพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ปัญหาก็คือ ในช่วงที่เราพยายามนี้เรามักจะไม่ค่อยมีความสุขนัก มันครั่นเนื้อครั่นใจ กระสับกระส่าย ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งหมายความว่าถ้าเราบอกตัวเองว่าเราจะพยายามฟิตภาษาอังกฤษสัก 1 ปี เราก็จะอยู่ในอาการ ‘เป็นไข้’ เพราะภาษาอังกฤษที่เราต้องการจะฟิตพ่นพิษใส่เราตลอดช่วง 1 ปีที่เราปล้ำกับมัน
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึงคำถามของครูสอนภาษาไทยสมัยเด็ก เมื่อครูถามว่า ‘ในภาษาไทย คำที่ อ.อ่าง นำหน้า ย.ยักษ์ มีอะไรบ้าง?’ เด็กก็จะตอบตามที่ท่องจำไว้ ‘มี 4 คำ คือ อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก’
ผมกำลังจะบอกว่า ตามประสบการณ์ของผม ‘อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก’ นี่แหละครับ คือหัวใจของพุทธศาสนา, คือหัวใจของการดำเนินชีวิตทุกอย่าง, และก็คือหัวใจของการฟิตภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ผมอยากจะชวนท่านอ่านนิทานเซ็นเรื่อง ‘ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละจะยิ่งช้า’ ซึ่งท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุได้เล่าไว้ ค่อย ๆ อ่านนะครับ ไม่ต้องรีบอ่านเดี๋ยวเนื้อหาดี ๆ จะหกหมด ตอนอ่านก็ให้ทำในใจว่า เรากำลังนั่งอยู่หน้าธรรมาศน์ที่อาจารย์พุทธทาสกำลังเทศนาสอนธรรม
คลิกอ่านได้เลยครับ:
http://www.buddhadasa.com/zen/zen09.html
อ่านจบแล้วนะครับ?
ผมคิดเลยไปว่า อาจจะมีบางอย่างที่นิทานไม่ได้เล่าไว้ เช่น การ lecture เทคนิคการฟันดาบให้ศิษย์ฟัง แต่นิทานเรื่องนี้ต้องการเน้นเรื่อง การทำทุกสิ่งด้วยจิตที่ว่างจากความรู้สึก ‘ตัวกู - ของกู’ หรือ ‘อย่าอยู่อย่างอยาก’ จึงเล่าเน้นเฉพาะบทสนทนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์ตอนเปิดเรื่อง และเหตุการณ์ตอนลูกศิษย์รับมืออาจารย์ในครัว
พูดถึงเรื่องรู้สึกใจร้อนตอนเรียนนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นกันทุกคน ผมก็เป็นครับ จึงต้องมีสติกำกับ, อย่างเช่นช่วงเวลา 30 นาทีแต่ละวันที่ผมอุทิศให้กับการฟังภาษาอังกฤษจากเว็บ ผมจะพยายามให้สมาธิทั้งหมด 100 % กับการฟังเสียงและทำความเข้าใจเรื่องที่กำลังฟัง(บางทีหลับตาขณะฟังด้วยซ้ำ) ถ้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องและเริ่มจะหงุดหงิดหรือรำคาญตัวเอง ผมก็ต้องรีบเตือนตัวเองว่า: อย่าไปเสีย % ของสมาธิให้กับการหงุดหงิด, ทุ่มสมาธิทั้งก้อน 100 % ให้กับการฟังดีกว่า, การ ‘ไม่รู้เรื่อง’ ไม่ได้แปลว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’, และถ้าเราใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ รู้เรื่องมากขึ้นเอง, แต่ทั้งนี้จะต้องไม่แบ่งสมาธิไปให้กับความรู้สึกใจร้อน – หงุดหงิด – รำคาญ ซึ่งเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ผมหวังที่จะให้ผู้อ่านของผมทุกคนฟิตภาษาอังกฤษอย่างได้ผลและมีความสุข คือมีทั้งความพากเพียรและความพอใจ มีทั้งวิริยะและสันโดษ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ในเมื่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง เราก็ต้องอย่าเรียนอย่างใจร้อน หรืออย่าอยู่อย่างอยากนั่นเอง
บางท่านอาจจะบอกว่า ทำไมเราเรียนได้ช้าจัง แต่บางคนเขาเรียนได้เร็วจัง ผมขอบอกเหมือนเดิมว่า ให้ตั้งเป้าหมายที่ดีเอาไว้ และก็พยายามไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ต้องร้อนใจ – ไม่ต้องใจร้อน และการที่คนเราเรียนได้เร็วช้าต่างกัน นอกจากเกิดจากความพยายามในปัจจุบันแล้ว มันก็คงจะเกิดจากกรรมเก่าในอดีตด้วย คำว่า ‘อดีต’ ในที่นี้ ก็รวมหมดเลยครับ ทั้งอดีตสมัยอยู่ชั้นอนุบาล-ประถม-มัธยม-มหาวิทยาลัย-เรียนจบแล้ว หรืออาจจะย้อนไปไกลถึงชาติที่แล้ว ถ้าในอดีตเราเคยฟิตไว้ดีปัจจุบันก็คงได้อานิสงส์ดีจากอดีตที่เราอุตส่าห์เพียรไว้
แต่... แต่... แต่อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ทำในปัจจุบันนี่แหละครับให้มันดีและก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะดีเอง เพราะเหตุดีย่อมนำไปสู่ผลที่ดี
ท่านผู้อ่านเคยเดินขึ้นภูกระดึงไหมครับ ผมเองอายุขนาดนี้แล้วเพิ่งเดินขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ระยะทาง 9 กิโลเมตร บางช่วงก็เดินสบาย แต่บางช่วงก็ขรุขระมาก ชันมาก ผมใช้เวลาเดินขึ้น(รวมเวลาพักกินข้าวกลางวันริมทางด้วย) ประมาณ 6 ชั่วโมง
ผมอยากจะเปรียบเทียบการฟิตภาษาอังกฤษเหมือนกับการเดินขึ้นภูกระดึง แน่นอนครับ มันไม่ใช่ของง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม บางคนมีเวลาแต่ก็ไม่กล้าไปเดินขึ้นภูกระดึงเพราะเคยได้ยินคนพูดไว้ว่าเส้นทางโหดเลยไม่กล้าไปเดิน ส่วนบางคนที่ใจกล้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุเยอะแล้ว หลายคนใจร้อน เดินจ้วงเอา ๆ จะให้ถึงยอดภูเร็ว ๆ บางคนถึงขั้นเดี้ยงเดินไปไม่รอดต้องเดินกลับตีนดอย ส่วนบางคนก็เดินไปบ่นไป เมื่อไหร่จะถึงสักที ถ้าบ่นด้วยปากก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าบ่นด้วยใจก็ต้องถือว่าเป็นการเดินขึ้นภูที่ผิดวิธี
เพราะจริง ๆ แล้ว เมื่อเราไปเที่ยวภูกระดึง เราต้องพิชิตให้ได้ทั้งเส้นทางภายนอกและความสุขภายใน และภูกระดึงก็คือภูทั้งภู มิใช่เพียงยอดภูที่ปลายทาง เพราะฉะนั้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เราออกเดินเราก็ถึงภูกระดึงแล้ว ถึงทีละน้อย ถึงทีละก้าว และความสุขจากการเดินภูก็มิใช่ได้รับเมื่อไปถึงยอดภูเท่านั้น แต่ล้วนมีอยู่ทั้งสองข้างทางที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินขึ้นไป ถ้าไม่รีบเกินไป ไม่ใจร้อนเกินไปก็จะเห็นว่า ดงไม้ป่าเขาตลอดเส้นทางก็ล้วนมีความงามให้ชื่นชม เราจึงได้รับทั้งความสำเร็จและความสุขทุกย่างก้าวของการเดินขึ้นภูกระดึง
การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เราไม่ควรจะใจแคบมองความสำเร็จและความสุขเฉพาะเมื่อเราสามารถพูดได้คล่องปรื๋อเหมือนคนไทยที่ไปเกิดเมืองนอก, หรือสามารถเขียนได้คล่องเหมือนคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ฝรั่ง เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถเรียนภาษาอังกฤษอย่างพากเพียร-ใจเย็น-และเป็นสุข ได้ทุกวัน และพบความสำเร็จที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นกัน
นี่เป็นวิธีเรียนภาษาอังกฤษที่ผมใช้ฝึกตัวเองและต้องการแบ่งปันกับท่านผู้อ่านทุกท่าน
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
บ่อยครั้งที่ท่านผู้อ่านถามมาว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลเร็ว ๆ, มีทางลัดในการเรียนอย่างไรหรือไม่, จะต้องทำยังไงที่จะพูดให้ได้เพื่อเอาไปสอบสัมภาษณ์เดือนหน้า, ทิ้งภาษาอังกฤษมานานแล้วทำอย่างไรจึงจะฟื้นได้เร็ว ๆ เพราะงานในตำแหน่งใหม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ, หรือคำถามอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันนี้
อันดับแรกก็ต้องบอกว่า ผมชื่นชมทุกท่านที่ถามคำถามเหล่านี้ เพราะนี่แสดงว่าท่านใฝ่ใจที่จะทำให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ เพื่อให้ภาษาอังกฤษช่วยพัฒนาการงานและชีวิตของท่าน และท่านก็มีเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ได้เร็วที่สุด
พอมองแง่นี้ก็จะเห็นว่า การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ต่างจากสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต คือ เราต้องการจะมีหรือได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เราจึงตั้งเป้าหมาย และพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ปัญหาก็คือ ในช่วงที่เราพยายามนี้เรามักจะไม่ค่อยมีความสุขนัก มันครั่นเนื้อครั่นใจ กระสับกระส่าย ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งหมายความว่าถ้าเราบอกตัวเองว่าเราจะพยายามฟิตภาษาอังกฤษสัก 1 ปี เราก็จะอยู่ในอาการ ‘เป็นไข้’ เพราะภาษาอังกฤษที่เราต้องการจะฟิตพ่นพิษใส่เราตลอดช่วง 1 ปีที่เราปล้ำกับมัน
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึงคำถามของครูสอนภาษาไทยสมัยเด็ก เมื่อครูถามว่า ‘ในภาษาไทย คำที่ อ.อ่าง นำหน้า ย.ยักษ์ มีอะไรบ้าง?’ เด็กก็จะตอบตามที่ท่องจำไว้ ‘มี 4 คำ คือ อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก’
ผมกำลังจะบอกว่า ตามประสบการณ์ของผม ‘อย่า – อยู่ – อย่าง - อยาก’ นี่แหละครับ คือหัวใจของพุทธศาสนา, คือหัวใจของการดำเนินชีวิตทุกอย่าง, และก็คือหัวใจของการฟิตภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ผมอยากจะชวนท่านอ่านนิทานเซ็นเรื่อง ‘ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละจะยิ่งช้า’ ซึ่งท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุได้เล่าไว้ ค่อย ๆ อ่านนะครับ ไม่ต้องรีบอ่านเดี๋ยวเนื้อหาดี ๆ จะหกหมด ตอนอ่านก็ให้ทำในใจว่า เรากำลังนั่งอยู่หน้าธรรมาศน์ที่อาจารย์พุทธทาสกำลังเทศนาสอนธรรม
คลิกอ่านได้เลยครับ:
http://www.buddhadasa.com/zen/zen09.html
อ่านจบแล้วนะครับ?
ผมคิดเลยไปว่า อาจจะมีบางอย่างที่นิทานไม่ได้เล่าไว้ เช่น การ lecture เทคนิคการฟันดาบให้ศิษย์ฟัง แต่นิทานเรื่องนี้ต้องการเน้นเรื่อง การทำทุกสิ่งด้วยจิตที่ว่างจากความรู้สึก ‘ตัวกู - ของกู’ หรือ ‘อย่าอยู่อย่างอยาก’ จึงเล่าเน้นเฉพาะบทสนทนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์ตอนเปิดเรื่อง และเหตุการณ์ตอนลูกศิษย์รับมืออาจารย์ในครัว
พูดถึงเรื่องรู้สึกใจร้อนตอนเรียนนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นกันทุกคน ผมก็เป็นครับ จึงต้องมีสติกำกับ, อย่างเช่นช่วงเวลา 30 นาทีแต่ละวันที่ผมอุทิศให้กับการฟังภาษาอังกฤษจากเว็บ ผมจะพยายามให้สมาธิทั้งหมด 100 % กับการฟังเสียงและทำความเข้าใจเรื่องที่กำลังฟัง(บางทีหลับตาขณะฟังด้วยซ้ำ) ถ้าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องและเริ่มจะหงุดหงิดหรือรำคาญตัวเอง ผมก็ต้องรีบเตือนตัวเองว่า: อย่าไปเสีย % ของสมาธิให้กับการหงุดหงิด, ทุ่มสมาธิทั้งก้อน 100 % ให้กับการฟังดีกว่า, การ ‘ไม่รู้เรื่อง’ ไม่ได้แปลว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’, และถ้าเราใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ รู้เรื่องมากขึ้นเอง, แต่ทั้งนี้จะต้องไม่แบ่งสมาธิไปให้กับความรู้สึกใจร้อน – หงุดหงิด – รำคาญ ซึ่งเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ผมหวังที่จะให้ผู้อ่านของผมทุกคนฟิตภาษาอังกฤษอย่างได้ผลและมีความสุข คือมีทั้งความพากเพียรและความพอใจ มีทั้งวิริยะและสันโดษ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ในเมื่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง เราก็ต้องอย่าเรียนอย่างใจร้อน หรืออย่าอยู่อย่างอยากนั่นเอง
บางท่านอาจจะบอกว่า ทำไมเราเรียนได้ช้าจัง แต่บางคนเขาเรียนได้เร็วจัง ผมขอบอกเหมือนเดิมว่า ให้ตั้งเป้าหมายที่ดีเอาไว้ และก็พยายามไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ต้องร้อนใจ – ไม่ต้องใจร้อน และการที่คนเราเรียนได้เร็วช้าต่างกัน นอกจากเกิดจากความพยายามในปัจจุบันแล้ว มันก็คงจะเกิดจากกรรมเก่าในอดีตด้วย คำว่า ‘อดีต’ ในที่นี้ ก็รวมหมดเลยครับ ทั้งอดีตสมัยอยู่ชั้นอนุบาล-ประถม-มัธยม-มหาวิทยาลัย-เรียนจบแล้ว หรืออาจจะย้อนไปไกลถึงชาติที่แล้ว ถ้าในอดีตเราเคยฟิตไว้ดีปัจจุบันก็คงได้อานิสงส์ดีจากอดีตที่เราอุตส่าห์เพียรไว้
แต่... แต่... แต่อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ทำในปัจจุบันนี่แหละครับให้มันดีและก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะดีเอง เพราะเหตุดีย่อมนำไปสู่ผลที่ดี
ท่านผู้อ่านเคยเดินขึ้นภูกระดึงไหมครับ ผมเองอายุขนาดนี้แล้วเพิ่งเดินขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ระยะทาง 9 กิโลเมตร บางช่วงก็เดินสบาย แต่บางช่วงก็ขรุขระมาก ชันมาก ผมใช้เวลาเดินขึ้น(รวมเวลาพักกินข้าวกลางวันริมทางด้วย) ประมาณ 6 ชั่วโมง
ผมอยากจะเปรียบเทียบการฟิตภาษาอังกฤษเหมือนกับการเดินขึ้นภูกระดึง แน่นอนครับ มันไม่ใช่ของง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม บางคนมีเวลาแต่ก็ไม่กล้าไปเดินขึ้นภูกระดึงเพราะเคยได้ยินคนพูดไว้ว่าเส้นทางโหดเลยไม่กล้าไปเดิน ส่วนบางคนที่ใจกล้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุเยอะแล้ว หลายคนใจร้อน เดินจ้วงเอา ๆ จะให้ถึงยอดภูเร็ว ๆ บางคนถึงขั้นเดี้ยงเดินไปไม่รอดต้องเดินกลับตีนดอย ส่วนบางคนก็เดินไปบ่นไป เมื่อไหร่จะถึงสักที ถ้าบ่นด้วยปากก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าบ่นด้วยใจก็ต้องถือว่าเป็นการเดินขึ้นภูที่ผิดวิธี
เพราะจริง ๆ แล้ว เมื่อเราไปเที่ยวภูกระดึง เราต้องพิชิตให้ได้ทั้งเส้นทางภายนอกและความสุขภายใน และภูกระดึงก็คือภูทั้งภู มิใช่เพียงยอดภูที่ปลายทาง เพราะฉะนั้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เราออกเดินเราก็ถึงภูกระดึงแล้ว ถึงทีละน้อย ถึงทีละก้าว และความสุขจากการเดินภูก็มิใช่ได้รับเมื่อไปถึงยอดภูเท่านั้น แต่ล้วนมีอยู่ทั้งสองข้างทางที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินขึ้นไป ถ้าไม่รีบเกินไป ไม่ใจร้อนเกินไปก็จะเห็นว่า ดงไม้ป่าเขาตลอดเส้นทางก็ล้วนมีความงามให้ชื่นชม เราจึงได้รับทั้งความสำเร็จและความสุขทุกย่างก้าวของการเดินขึ้นภูกระดึง
การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เราไม่ควรจะใจแคบมองความสำเร็จและความสุขเฉพาะเมื่อเราสามารถพูดได้คล่องปรื๋อเหมือนคนไทยที่ไปเกิดเมืองนอก, หรือสามารถเขียนได้คล่องเหมือนคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ฝรั่ง เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถเรียนภาษาอังกฤษอย่างพากเพียร-ใจเย็น-และเป็นสุข ได้ทุกวัน และพบความสำเร็จที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นกัน
นี่เป็นวิธีเรียนภาษาอังกฤษที่ผมใช้ฝึกตัวเองและต้องการแบ่งปันกับท่านผู้อ่านทุกท่าน
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[210] Infoplease – เว็บข้อมูลและความรู้ขนาดใหญ่
สวัสดีครับ
เว็บ http://www.infoplease.com/ เป็นเว็บแหล่งความรู้ขนาดใหญ่ที่น่าสนใจมาก เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านลองค่อย ๆ อ่านดูหัวข้อคร่าว ๆ ที่คอลัมน์ซ้ายมือ - กลางหน้า - และคอลัมน์ขวามือ จะเห็นว่าหลายเรื่องน่าสนใจทีเดียว
* * * * *ที่ต้องขอเรียนไว้เป็นอันดับแรกก็คือ คำทุกคำในเว็บนี้ เมื่อดับเบิ้ลคลิกจะปรากฏคำแปลในหน้าต่างใหม่ เช่น เมื่อเราคลิกคำว่า War ก็จะปรากฏหน้าต่างขึ้นโชว์
war
(Dictionary) Definition of war
เราก็คลิกที่ลิงค์ war ] * * * * *
หรือท่านจะคลิกดูที่แถบข้อมูลความรู้อ้างอิงที่ด้านบนบนของหน้า ก็ได้ ซึ่งมีแถบพวกนี้
Almanacs **Atlas **Encyclopedia **Dictionary **Thesaurus**Features **Quizzes **Timelines ** Asian American History **Campaign 2008
ซึ่งในวันนี้ผมอยากจะแนะนำสัก 1 เรื่องซึ่งน่าสนุก คือ การทดสอบความรู้ในเรื่องต่าง ๆ หรือ Quizzes
Quizzes เป็นการ Test ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ และเฉลย แบ่งออกเป็น 9 ประเภท คือ
**Biography
**Business
**Entertainment
**Health & Science
**History & Gov't
**Society & Culture
**Sports
**United States
**World
ท่านลองเลือกหัวข้อที่ท่านสนใจและลองทำดูเล่น ๆ ซีครับ นอกจากได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษแล้วยังได้รับความรู้ที่น่าสนใจและเอาไปพูดคุยเป็น Small Talk กับเพื่อนฝูงได้
ลองทำ Quizzes ได้ประโยชน์ 3 อย่างครับ ได้ความรู้ ได้ความสนุก และ ได้พัฒนา Reading Skill ส่วนศัพท์ก็ไม่ยากเกินไป ง่ายกว่าอ่านบทความหรือง่ายกว่าอ่านข่าวมากทีเดียว เพราะเป็นประโยคสั้น ๆ
ผมดึง Test บางเรื่องมาให้ท่านลองทำเล่น ๆ ข้างล่างนี้ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะแยะเลยที่ท่านสามารถเข้าไปลองทำ
1.British English Quiz
http://www.infoplease.com/quizzes/british/1.html
2.Color Psychology Quiz
http://www.infoplease.com/quizzes/psychcolors/1.html
3.Countries
http://www.infoplease.com/quizzes/countries/1.html
4.Foods from Around the World
http://www.infoplease.com/quizzes/worldfood/1.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เว็บ http://www.infoplease.com/ เป็นเว็บแหล่งความรู้ขนาดใหญ่ที่น่าสนใจมาก เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านลองค่อย ๆ อ่านดูหัวข้อคร่าว ๆ ที่คอลัมน์ซ้ายมือ - กลางหน้า - และคอลัมน์ขวามือ จะเห็นว่าหลายเรื่องน่าสนใจทีเดียว
* * * * *ที่ต้องขอเรียนไว้เป็นอันดับแรกก็คือ คำทุกคำในเว็บนี้ เมื่อดับเบิ้ลคลิกจะปรากฏคำแปลในหน้าต่างใหม่ เช่น เมื่อเราคลิกคำว่า War ก็จะปรากฏหน้าต่างขึ้นโชว์
war
(Dictionary) Definition of war
เราก็คลิกที่ลิงค์ war ] * * * * *
หรือท่านจะคลิกดูที่แถบข้อมูลความรู้อ้างอิงที่ด้านบนบนของหน้า ก็ได้ ซึ่งมีแถบพวกนี้
Almanacs **Atlas **Encyclopedia **Dictionary **Thesaurus**Features **Quizzes **Timelines ** Asian American History **Campaign 2008
ซึ่งในวันนี้ผมอยากจะแนะนำสัก 1 เรื่องซึ่งน่าสนุก คือ การทดสอบความรู้ในเรื่องต่าง ๆ หรือ Quizzes
Quizzes เป็นการ Test ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ และเฉลย แบ่งออกเป็น 9 ประเภท คือ
**Biography
**Business
**Entertainment
**Health & Science
**History & Gov't
**Society & Culture
**Sports
**United States
**World
ท่านลองเลือกหัวข้อที่ท่านสนใจและลองทำดูเล่น ๆ ซีครับ นอกจากได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษแล้วยังได้รับความรู้ที่น่าสนใจและเอาไปพูดคุยเป็น Small Talk กับเพื่อนฝูงได้
ลองทำ Quizzes ได้ประโยชน์ 3 อย่างครับ ได้ความรู้ ได้ความสนุก และ ได้พัฒนา Reading Skill ส่วนศัพท์ก็ไม่ยากเกินไป ง่ายกว่าอ่านบทความหรือง่ายกว่าอ่านข่าวมากทีเดียว เพราะเป็นประโยคสั้น ๆ
ผมดึง Test บางเรื่องมาให้ท่านลองทำเล่น ๆ ข้างล่างนี้ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะแยะเลยที่ท่านสามารถเข้าไปลองทำ
1.British English Quiz
http://www.infoplease.com/quizzes/british/1.html
2.Color Psychology Quiz
http://www.infoplease.com/quizzes/psychcolors/1.html
3.Countries
http://www.infoplease.com/quizzes/countries/1.html
4.Foods from Around the World
http://www.infoplease.com/quizzes/worldfood/1.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[209] ชมวีดิโอประวัติพระพุทธเจ้า จาก BBC
7 ธันวาคม 2552
ปรับปรุงใหม่ ที่ลิงค์นี้ครับ
[1270]วีดิโอประวัติพระพุทธเจ้าโดย BBC มี subtitles ภ.อังกฤษ
ปรับปรุงใหม่ ที่ลิงค์นี้ครับ
[1270]วีดิโอประวัติพระพุทธเจ้าโดย BBC มี subtitles ภ.อังกฤษ
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[208] ชมวีดิโอ Clinton และ Obama กล่าว Speech
สวัสดีครับ
วันนี้ผมนำเอาวีดิโอ และ script การกล่าวสุนทรพจน์ของ Hillary Clinton และ Barack Obama มาให้ท่านชมและอ่าน คนละ 1 ครั้ง
ผมมีความรู้สึกว่า นักการเมืองอเมริกันพรรค Democrat 2 คนนี้ กล่าวสุนทรพจน์ได้ดี ดีทั้งเนื้อหา การนำเสนอ และ ถ้อยคำสำนวน
ในแง่ของเราที่เป็นคนศึกษาภาษาอังกฤษ ผมว่ามีประโยชน์ครับ ลองฟังและอ่านไปพร้อม ๆ กันก็ดีนะครับ
Hillary Clinton
เรื่อง “Toward a New American Security”
วีดิโอ & Text (ตอนต้นของวิดีโอไม่มี Text ให้อ่าน)
http://clinton.senate.gov/news/statements/details.cfm?id=278112&&
Barack Obama
เรื่อง Race & Religion in Wake of Controversy
Text
http://abcnews.go.com/Politics/Vote2008/Story?id=4472228&page=1
Video
-http://www.youtube.com/watch?v=zrp-v2tHaDo
-http://www.funnywizz.com/vdo/Barack-Obama-A-More-Perfect-Union-Full-Speech__zrp-v2tHaDo.html
แถม: Top 100 Speeches ของชาวอเมริกัน (Script+ mp3+video)
http://www.americanrhetoric.com/top100speechesall.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันนี้ผมนำเอาวีดิโอ และ script การกล่าวสุนทรพจน์ของ Hillary Clinton และ Barack Obama มาให้ท่านชมและอ่าน คนละ 1 ครั้ง
ผมมีความรู้สึกว่า นักการเมืองอเมริกันพรรค Democrat 2 คนนี้ กล่าวสุนทรพจน์ได้ดี ดีทั้งเนื้อหา การนำเสนอ และ ถ้อยคำสำนวน
ในแง่ของเราที่เป็นคนศึกษาภาษาอังกฤษ ผมว่ามีประโยชน์ครับ ลองฟังและอ่านไปพร้อม ๆ กันก็ดีนะครับ
Hillary Clinton
เรื่อง “Toward a New American Security”
วีดิโอ & Text (ตอนต้นของวิดีโอไม่มี Text ให้อ่าน)
http://clinton.senate.gov/news/statements/details.cfm?id=278112&&
Barack Obama
เรื่อง Race & Religion in Wake of Controversy
Text
http://abcnews.go.com/Politics/Vote2008/Story?id=4472228&page=1
Video
-http://www.youtube.com/watch?v=zrp-v2tHaDo
-http://www.funnywizz.com/vdo/Barack-Obama-A-More-Perfect-Union-Full-Speech__zrp-v2tHaDo.html
แถม: Top 100 Speeches ของชาวอเมริกัน (Script+ mp3+video)
http://www.americanrhetoric.com/top100speechesall.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[207] เพลงพระราชนิพนธ์ ภาษาไทย-อังกฤษ
สวัสดีครับ
นาทีนี้ พอผมนั่งลงข้างหน้า keyboard คอมพิวเตอร์ฝนก็ตกลงมาพอดี ใจผมนึกไปถึงเพลงพระราชนิพนธ์ ’สายฝน’ ขึ้นมาทันที และรู้ว่าวันนี้จะเอาอะไรมาคุยกับท่านผู้อ่าน
เว็บข้างล่างนี้ว่าด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ล้วน ๆ - มีประวัติเพลงพระราชนิพนธ์,พร้อมทั้งคำร้องภาษาไทย - ภาษาอังกฤษให้ท่านศึกษา
(1) http://www.geocities.com/rajchasadudee/royalmusic.html
(ดนตรีบรรเลงเพลง ‘ใกล้รุ่ง’)
(2) http://web.ku.ac.th/king72/2530/music.htm
(คำร้องภาษาไทย/อังกฤษ 45 เพลง, ประวัติเพลง, ดนตรีบรรเลง, คำร้องภาษาอังกฤษอ่านไม่ง่ายนัก แต่ก็น่าศึกษา )
(3) http://royalmusic.panyathai.or.th/
(ประวัติเพลง, คำร้องภาษาไทย/อังกฤษ 48 เพลง )
(4) http://th.wikipedia.org/wiki/RoyalSongs
(เพลงพระราชนิพนธ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
(5) ความเป็นมาโดยละเอียดเกี่ยวกับ เพลงพระราชนิพนธ์
ภาษาไทย http://www.supremeartist.org/thai/music/index.html
ภาษาอังกฤษ http://www.supremeartist.org/eng/music/index.html
(6) http://www.madoo.com/government/majestic/index.html
(พระมหากษัตริย์และราชวงศ์)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
นาทีนี้ พอผมนั่งลงข้างหน้า keyboard คอมพิวเตอร์ฝนก็ตกลงมาพอดี ใจผมนึกไปถึงเพลงพระราชนิพนธ์ ’สายฝน’ ขึ้นมาทันที และรู้ว่าวันนี้จะเอาอะไรมาคุยกับท่านผู้อ่าน
เว็บข้างล่างนี้ว่าด้วยเพลงพระราชนิพนธ์ล้วน ๆ - มีประวัติเพลงพระราชนิพนธ์,พร้อมทั้งคำร้องภาษาไทย - ภาษาอังกฤษให้ท่านศึกษา
(1) http://www.geocities.com/rajchasadudee/royalmusic.html
(ดนตรีบรรเลงเพลง ‘ใกล้รุ่ง’)
(2) http://web.ku.ac.th/king72/2530/music.htm
(คำร้องภาษาไทย/อังกฤษ 45 เพลง, ประวัติเพลง, ดนตรีบรรเลง, คำร้องภาษาอังกฤษอ่านไม่ง่ายนัก แต่ก็น่าศึกษา )
(3) http://royalmusic.panyathai.or.th/
(ประวัติเพลง, คำร้องภาษาไทย/อังกฤษ 48 เพลง )
(4) http://th.wikipedia.org/wiki/RoyalSongs
(เพลงพระราชนิพนธ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
(5) ความเป็นมาโดยละเอียดเกี่ยวกับ เพลงพระราชนิพนธ์
ภาษาไทย http://www.supremeartist.org/thai/music/index.html
ภาษาอังกฤษ http://www.supremeartist.org/eng/music/index.html
(6) http://www.madoo.com/government/majestic/index.html
(พระมหากษัตริย์และราชวงศ์)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[206] วันหยุดของไทย เขียนเป็นภาษาอังกฤษยังไง?
สวัสดีครับ
ในปีหนึ่ง 365 วัน ท่านที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัททำงานทั้งหมดกี่วัน ก็ต้องเอาวันหยุดทั้งหมดมาลบ, 1 ปีมี 52 สัปดาห์, หยุดสัปดาห์ละ 2 วัน ทั้งปีก็เท่ากับ 52 X 2 = 102 วัน, และยังมีวันหยุดนักขัตฤกษ์อีกประมาณ 15 วัน รวมวันหยุดทั้งหมดจึงเท่ากับ 102 + 15 = 117 วัน
ฉะนั้น ในปีหนึ่งเราจึงทำงาน 365 – 117 = 248 วัน (หรือเดือนละ 20.7 วัน) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ใน 1 ปีมี 12 เดือนนี้ เราทำงานประมาณ 8 เดือน ท่านว่ามากหรือน้อยครับ?
ผมมีเพื่อนเป็นชาวบรูไน เขาบอกว่าประเทศเขาหยุดวันศุกร์และวันอาทิตย์ วันศุกร์หยุดให้คนมุสลิมไปเข้ามัสยิด (มัสยิดกับสุเหร่าต่างกันอย่างไร คลิกที่นี่ ) และวันอาทิตย์หยุดให้คนศาสนาอื่นไปเข้าโบสถ์ของเขา ผมบอกว่าไม่ดีเลยนะหยุดแยกกันอย่างนี้ เขาตอบว่าเขาชินแล้ว
ย้อนมาเรื่องภาษา มีน้องบางคนเคยถามว่า วันหยุดของไทยเขียนเป็นภาษังกฤษว่ายังไง เพื่อหาคำตอบผมจึงไปหาเว็บที่พอใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ก็ได้เว็บธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเขาเขียนวันหยุดของไทยเป็นภาษาอังกฤษอย่างนี้ครับ คลิก
ส่วนอีกเว็บหนึ่ง คือ “Wikipedia” เขาเขียนวันหยุดไทย แบบ English name เปรียบเทียบกับ Local name ให้ดู คลิกที่นี่ครับ ลิงค์ 1 และ ลิงค์ 2
พูดถึงเรื่องวันหยุดนี่นะครับ ท่านที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศหรือติดต่อกับชาวต่างประเทศ ถ้ารู้วันหยุดของเขาไว้ก็ดี ซึ่งเว็บ Wikipedia เขารวบรวมแยกตามประเทศไว้ให้เรียบร้อย ที่ ลิงค์นี้
ผมลองคลิกเข้าไปดูวันหยุดของบางประเทศ ก็พบบางประเด็นที่น่าสนใจ
อย่างเช่นอินเดีย ประเทศนี้ผมไปมาแล้ว 4 ครั้ง และก็เห็นว่าคนอินเดียนี่มีเทพจำนวนมากเป็นโหล ๆ ให้ไหว้ ผมก็เดาเอาว่าวันหยุดแห่งชาติที่เกี่ยวกับเทพองค์นั้นองค์นี้คงจะมีหลายวัน แต่เมื่ออ่านใน Wikipedia ถึงได้รู้ว่าเขามีวันหยุดแห่งชาติเพียง 3 วัน คือ Independence Day, Republic Day และ Gandhi Jayanti แต่ทว่าในแต่ละรัฐจะมีวันนักขัตฤกษ์ที่เกี่ยวกับเทพของเขาเอง เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าอินเดียมีเทพเยอะ แต่ละรัฐก็มีเทพที่ popular แตกต่างกันไปบ้าง วันนักขัตฤกษ์ของแต่ละรัฐที่เกี่ยวกับเทพก็เลยต่างกันไป คลิกอ่านวันหยุดอินเดีย
พอเข้าไปดูวันหยุดของประเทศสหรัฐอมริกาก็พบว่า วันหยุดจะใช้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนภาคเอกชนมักจะเลือกหยุดใน 6 วันหยุดใหญ หรือ "Big 6" holidays คือ New Years Day, Memorial Day, Independence Day, Labor Day, Thanksgiving, and Christmas Day
คลิกอ่านวันหยุดสหรัฐฯ ลิงค์ 1 และ ลิงค์ 2
ย้อนมาถึงประเทศใกล้บ้านเราบ้างคือสิงคโปร์ ผมสังเกตว่า เขามีวันหยุดแห่งชาติที่เกี่ยวกับทั้ง 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม ในขณะที่ไทยมีวันหยุดเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเท่านั้น คลิกอ่านวันหยุดสิงคโปร์
ถ้าท่านมีเวลา ลองเข้าไปดูวันหยุดของประเทศอื่น ๆ ดูซีครับ น่าจะมีเรื่องที่น่าสนใจให้ศึกษาอยู่พอสมควร บางชาติอาจจะมีวันหยุดที่เน้นเรื่องทางศาสนา บางชาติเน้นเรื่องบุคคลหรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเขา หรือบางชาติอาจจะเน้นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาเลย อาจจะมีก็ได้นะครับผมไม่แน่ใจ ท่านลองเข้าไปอ่านดูแล้วกันครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ในปีหนึ่ง 365 วัน ท่านที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัททำงานทั้งหมดกี่วัน ก็ต้องเอาวันหยุดทั้งหมดมาลบ, 1 ปีมี 52 สัปดาห์, หยุดสัปดาห์ละ 2 วัน ทั้งปีก็เท่ากับ 52 X 2 = 102 วัน, และยังมีวันหยุดนักขัตฤกษ์อีกประมาณ 15 วัน รวมวันหยุดทั้งหมดจึงเท่ากับ 102 + 15 = 117 วัน
ฉะนั้น ในปีหนึ่งเราจึงทำงาน 365 – 117 = 248 วัน (หรือเดือนละ 20.7 วัน) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ใน 1 ปีมี 12 เดือนนี้ เราทำงานประมาณ 8 เดือน ท่านว่ามากหรือน้อยครับ?
ผมมีเพื่อนเป็นชาวบรูไน เขาบอกว่าประเทศเขาหยุดวันศุกร์และวันอาทิตย์ วันศุกร์หยุดให้คนมุสลิมไปเข้ามัสยิด (มัสยิดกับสุเหร่าต่างกันอย่างไร คลิกที่นี่ ) และวันอาทิตย์หยุดให้คนศาสนาอื่นไปเข้าโบสถ์ของเขา ผมบอกว่าไม่ดีเลยนะหยุดแยกกันอย่างนี้ เขาตอบว่าเขาชินแล้ว
ย้อนมาเรื่องภาษา มีน้องบางคนเคยถามว่า วันหยุดของไทยเขียนเป็นภาษังกฤษว่ายังไง เพื่อหาคำตอบผมจึงไปหาเว็บที่พอใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ก็ได้เว็บธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเขาเขียนวันหยุดของไทยเป็นภาษาอังกฤษอย่างนี้ครับ คลิก
ส่วนอีกเว็บหนึ่ง คือ “Wikipedia” เขาเขียนวันหยุดไทย แบบ English name เปรียบเทียบกับ Local name ให้ดู คลิกที่นี่ครับ ลิงค์ 1 และ ลิงค์ 2
พูดถึงเรื่องวันหยุดนี่นะครับ ท่านที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศหรือติดต่อกับชาวต่างประเทศ ถ้ารู้วันหยุดของเขาไว้ก็ดี ซึ่งเว็บ Wikipedia เขารวบรวมแยกตามประเทศไว้ให้เรียบร้อย ที่ ลิงค์นี้
ผมลองคลิกเข้าไปดูวันหยุดของบางประเทศ ก็พบบางประเด็นที่น่าสนใจ
อย่างเช่นอินเดีย ประเทศนี้ผมไปมาแล้ว 4 ครั้ง และก็เห็นว่าคนอินเดียนี่มีเทพจำนวนมากเป็นโหล ๆ ให้ไหว้ ผมก็เดาเอาว่าวันหยุดแห่งชาติที่เกี่ยวกับเทพองค์นั้นองค์นี้คงจะมีหลายวัน แต่เมื่ออ่านใน Wikipedia ถึงได้รู้ว่าเขามีวันหยุดแห่งชาติเพียง 3 วัน คือ Independence Day, Republic Day และ Gandhi Jayanti แต่ทว่าในแต่ละรัฐจะมีวันนักขัตฤกษ์ที่เกี่ยวกับเทพของเขาเอง เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าอินเดียมีเทพเยอะ แต่ละรัฐก็มีเทพที่ popular แตกต่างกันไปบ้าง วันนักขัตฤกษ์ของแต่ละรัฐที่เกี่ยวกับเทพก็เลยต่างกันไป คลิกอ่านวันหยุดอินเดีย
พอเข้าไปดูวันหยุดของประเทศสหรัฐอมริกาก็พบว่า วันหยุดจะใช้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนภาคเอกชนมักจะเลือกหยุดใน 6 วันหยุดใหญ หรือ "Big 6" holidays คือ New Years Day, Memorial Day, Independence Day, Labor Day, Thanksgiving, and Christmas Day
คลิกอ่านวันหยุดสหรัฐฯ ลิงค์ 1 และ ลิงค์ 2
ย้อนมาถึงประเทศใกล้บ้านเราบ้างคือสิงคโปร์ ผมสังเกตว่า เขามีวันหยุดแห่งชาติที่เกี่ยวกับทั้ง 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม ในขณะที่ไทยมีวันหยุดเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเท่านั้น คลิกอ่านวันหยุดสิงคโปร์
ถ้าท่านมีเวลา ลองเข้าไปดูวันหยุดของประเทศอื่น ๆ ดูซีครับ น่าจะมีเรื่องที่น่าสนใจให้ศึกษาอยู่พอสมควร บางชาติอาจจะมีวันหยุดที่เน้นเรื่องทางศาสนา บางชาติเน้นเรื่องบุคคลหรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเขา หรือบางชาติอาจจะเน้นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาเลย อาจจะมีก็ได้นะครับผมไม่แน่ใจ ท่านลองเข้าไปอ่านดูแล้วกันครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[205]ข่าวสั้น(ไม่มีเวลา/ขี้เกียจอ่าน/ฟังข่าว ยาว ๆ)
สวัสดีครับ
ท่านเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไหมครับ คือบางวันขี้เกียจติดตามข่าว มันเยอะมากจนไม่อยากอ่าน-ไม่อยากฟัง แต่ครั้นไม่อ่านก็กลัวจะตกข่าว ถ้าเป็นอย่างนี้อ่าน ‘ข่าวสั้น’ หรือ ‘สรุปข่าว’ ดีที่สุด
Format การเขียนข่าวไม่ว่าไทยหรือเทศมักจะคล้าย ๆ กัน คือ มี 3 ส่วน
(1) พาดหัวข่าว หรือ headline
(2) ย่อหน้าสรุปข่าว หรือ lead เป็นย่อหน้าแรกต่อจากพาดหัวข่าว ที่มักจะสรุปใจความสำคัญของข่าวไว้
(3) เนื้อข่าว หรือ body เป็นรายละเอียดของข่าว
สำหรับท่านที่ไม่มีเวลาหรือขี้เกียจอ่าน ก็อ่านเฉพาะ headline และ lead ก็พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ฝึก Reading ฝึกอ่าน lead ให้คล่อง แล้วค่อยขยับไป body ก็ได้ครับ จะได้ไม่เบื่อมาก
ข่าวในประเทศ
อ่าน lead ของแต่ละข่าว หนังสือพิมพ์ Bangkok Post และ The Nation ข้างล่างนี้
1. http://www.bangkokpost.com/
2. www.nationmultimedia.com/
ข่าวต่างประเทศ
1. CNN
อ่านข่าว: http://edition.cnn.com/services/rss/?iref=rssmorenews
(เลือก Title และคลิกที่ลิงค์ตามต้องการ)
ฟังข่าว: http://edition.cnn.com/services/podcasting/
(คลิกที่ LISTEN หรือ WATCH )
2. BBC
อ่านข่าว มีหลายประเภทให้เลือก
(คลิก Filter by category ที่คอลัมน์ซ้ายมือเพื่อเลือกประเภทข่าว; คลิก Show all items ตอนล่างถ้าต้องการอ่านทุกข่าว)
อ่าน World News
อ่านข่าวธุรกิจ
อ่านข่าวกีฬา
ฟังข่าว: ลิงค์ 1 *** ลิงค์ 2 *** ลิงค์ 3
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ท่านเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไหมครับ คือบางวันขี้เกียจติดตามข่าว มันเยอะมากจนไม่อยากอ่าน-ไม่อยากฟัง แต่ครั้นไม่อ่านก็กลัวจะตกข่าว ถ้าเป็นอย่างนี้อ่าน ‘ข่าวสั้น’ หรือ ‘สรุปข่าว’ ดีที่สุด
Format การเขียนข่าวไม่ว่าไทยหรือเทศมักจะคล้าย ๆ กัน คือ มี 3 ส่วน
(1) พาดหัวข่าว หรือ headline
(2) ย่อหน้าสรุปข่าว หรือ lead เป็นย่อหน้าแรกต่อจากพาดหัวข่าว ที่มักจะสรุปใจความสำคัญของข่าวไว้
(3) เนื้อข่าว หรือ body เป็นรายละเอียดของข่าว
สำหรับท่านที่ไม่มีเวลาหรือขี้เกียจอ่าน ก็อ่านเฉพาะ headline และ lead ก็พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ฝึก Reading ฝึกอ่าน lead ให้คล่อง แล้วค่อยขยับไป body ก็ได้ครับ จะได้ไม่เบื่อมาก
ข่าวในประเทศ
อ่าน lead ของแต่ละข่าว หนังสือพิมพ์ Bangkok Post และ The Nation ข้างล่างนี้
1. http://www.bangkokpost.com/
2. www.nationmultimedia.com/
ข่าวต่างประเทศ
1. CNN
อ่านข่าว: http://edition.cnn.com/services/rss/?iref=rssmorenews
(เลือก Title และคลิกที่ลิงค์ตามต้องการ)
ฟังข่าว: http://edition.cnn.com/services/podcasting/
(คลิกที่ LISTEN หรือ WATCH )
2. BBC
อ่านข่าว มีหลายประเภทให้เลือก
(คลิก Filter by category ที่คอลัมน์ซ้ายมือเพื่อเลือกประเภทข่าว; คลิก Show all items ตอนล่างถ้าต้องการอ่านทุกข่าว)
อ่าน World News
อ่านข่าวธุรกิจ
อ่านข่าวกีฬา
ฟังข่าว: ลิงค์ 1 *** ลิงค์ 2 *** ลิงค์ 3
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[204] วิธีบอกเพื่อให้สะกดชื่อเฉพาะทางโทรศัพท์
สวัสดีครับ
เวลาเราพูดโทรศัพท์และต้องบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งเขียนชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสินค้า หรือชื่ออีเมลลงไป เรามักจะต้องสะกดให้เขาฟัง แต่การอ่านตัวสะกด a, b, c, d, … ให้เขาฟังเฉย ๆ โอกาสที่จะจดผิดมีมาก วิธีแก้ก็คือ ต้องหาคำเต็มของตัวอักษร a, b, c, d, …พูดควบไปด้วย จะได้แน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิดและจดถูก และคำเต็มที่จะพูดควบนี้ก็ต้องเป็นคำศัพท์ที่เราแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บเลย
ผมว่าเราน่าจะจำคำเต็มภาษาอังกฤษที่เป็นสากล จะได้พูดกับทุกชาติได้ ซึ่งมีแจ้งไว้ที่ ลิงค์นี้
ซึ่งมีคำเต็มดังนี้ โดยมากเป็นชื่อคน
A=Alfred
B=Benjamin
C=Charles
D=David
E=Edward
F=Frederick
G=George
H=Harry
I=Isaac
J=Jack
K=King
L=London
M=Mary
N=Nellie
O=Oliver
P=Peter
Q=Queen
R=Robert
S=Samuel (คำนี้ออกเสียงอย่างนี้ คลิก )
T=Tommy
U=Uncle
V=Victor
W=William
X=X-ray
Y=Yellow
Z=Zebra
ส่วนถ้าคนฟังเป็นชาติอื่นที่ออกเสียงคำศัพท์แตกต่างจากคนอังกฤษ เช่น คนฝรั่งเศส สเปน ดัทช์ อิตาลี เยอรมัน เราคงไม่ต้องตามไปศึกษาการออกเสียงของเขาหรอกครับ คงต้องให้เขาฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องเอาเอง
แต่ถ้าท่านต้องการรู้ว่าชาติเหล่านี้เขาออกเสียงทั้ง 26 คำข้างบนว่ายังไง เชิญ คลิกดูที่นี่ครับ
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัว ผมเองไม่ค่อยชอบ ทั้ง 26 คำข้างบน และชอบใช้คำเต็มที่เป็นชื่อประเทศมากกว่า ตามข้างล่างนี้ครับ
A=Australia
B=Belgium
C=Canada
D=Denmark
E=Egypt
F=Finland
G=Germany
H=Hong Kong
I=Ireland
J=Japan
K=Korea
L=Luxemburg
M=Malaysia
N=Norway
O=Oman
P=Poland
Q=Queen
R=Russia
S=Singapore
T=Thailand
U=United States
V=Vietnam
W=Western
X=X-ray
Y=Yellow
Z= Zebra
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เวลาเราพูดโทรศัพท์และต้องบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งเขียนชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสินค้า หรือชื่ออีเมลลงไป เรามักจะต้องสะกดให้เขาฟัง แต่การอ่านตัวสะกด a, b, c, d, … ให้เขาฟังเฉย ๆ โอกาสที่จะจดผิดมีมาก วิธีแก้ก็คือ ต้องหาคำเต็มของตัวอักษร a, b, c, d, …พูดควบไปด้วย จะได้แน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิดและจดถูก และคำเต็มที่จะพูดควบนี้ก็ต้องเป็นคำศัพท์ที่เราแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บเลย
ผมว่าเราน่าจะจำคำเต็มภาษาอังกฤษที่เป็นสากล จะได้พูดกับทุกชาติได้ ซึ่งมีแจ้งไว้ที่ ลิงค์นี้
ซึ่งมีคำเต็มดังนี้ โดยมากเป็นชื่อคน
A=Alfred
B=Benjamin
C=Charles
D=David
E=Edward
F=Frederick
G=George
H=Harry
I=Isaac
J=Jack
K=King
L=London
M=Mary
N=Nellie
O=Oliver
P=Peter
Q=Queen
R=Robert
S=Samuel (คำนี้ออกเสียงอย่างนี้ คลิก )
T=Tommy
U=Uncle
V=Victor
W=William
X=X-ray
Y=Yellow
Z=Zebra
ส่วนถ้าคนฟังเป็นชาติอื่นที่ออกเสียงคำศัพท์แตกต่างจากคนอังกฤษ เช่น คนฝรั่งเศส สเปน ดัทช์ อิตาลี เยอรมัน เราคงไม่ต้องตามไปศึกษาการออกเสียงของเขาหรอกครับ คงต้องให้เขาฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องเอาเอง
แต่ถ้าท่านต้องการรู้ว่าชาติเหล่านี้เขาออกเสียงทั้ง 26 คำข้างบนว่ายังไง เชิญ คลิกดูที่นี่ครับ
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัว ผมเองไม่ค่อยชอบ ทั้ง 26 คำข้างบน และชอบใช้คำเต็มที่เป็นชื่อประเทศมากกว่า ตามข้างล่างนี้ครับ
A=Australia
B=Belgium
C=Canada
D=Denmark
E=Egypt
F=Finland
G=Germany
H=Hong Kong
I=Ireland
J=Japan
K=Korea
L=Luxemburg
M=Malaysia
N=Norway
O=Oman
P=Poland
Q=Queen
R=Russia
S=Singapore
T=Thailand
U=United States
V=Vietnam
W=Western
X=X-ray
Y=Yellow
Z= Zebra
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[203]อ่านพุทธประวัติ (อังกฤษ – ไทย) ฉลองวันวิสาขะ
สวัสดีครับ
เนื่องในวันวิสาขบูชา 19 พฤษภาคม นี้ ผมขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่านอ่านพุทธประวัติเพื่อเป็นการฉลองวันสำคัญวันนี้
การศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งดีงามในชีวิต และถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งด้วย เพราะการได้ซึมซับพระปัญญา และพระเมตตาของพระองค์ ย่อมนำมาสู่ความดีและความงามของชีวิต ซึ่งจะเกิดผลดีต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วย
หนังสือเรื่อง Story of the Buddha นำประวัติของพระพุทธเจ้ามาเขียนด้วยภาษาที่ง่าย ๆ มีความยาวเพียง 93 ตอนสั้น ๆ, 1 ตอนคือ 1 หน้าและมีภาพลายเส้นประกอบทุกหน้า, บางตอนอาจจะต่างไปจากที่คนไทยเราเคยศึกษามาบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารับฟัง เช่น ตอนที่ 32 กล่าวถึงเด็กเลี้ยงแพะซึ่งผ่านมาเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นลมหมดสติจึงนำนมแพะให้พระองค์เสวย คลิกอ่าน Story of the Buddha หรือ คลิกที่นี่
ผมเอาเนื้อหาในหนังสือ Story of the Buddha มาใส่บริการเสริมเข้าไปนิดหน่อย คือ เมื่อท่านคลิกเข้าไปในลิงค์ข้างล่างนี้แล้ว
(1) เมื่อท่านวางเมาส์ที่คำศัพท์ จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาไทย
(2) เมื่อท่านดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษในหน้าต่างใหม่
อ่านพุทธประวัติฉบับแปลศัพท์ เชิญคลิกที่นี่
อ่านพุทธประวัติเล่มนี้ได้ประโยชน์ 2 อย่างครับ คือ เป็นทั้งพุทธบูชา และฝึก Reading Skill ด้วย
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เนื่องในวันวิสาขบูชา 19 พฤษภาคม นี้ ผมขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่านอ่านพุทธประวัติเพื่อเป็นการฉลองวันสำคัญวันนี้
การศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งดีงามในชีวิต และถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งด้วย เพราะการได้ซึมซับพระปัญญา และพระเมตตาของพระองค์ ย่อมนำมาสู่ความดีและความงามของชีวิต ซึ่งจะเกิดผลดีต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วย
หนังสือเรื่อง Story of the Buddha นำประวัติของพระพุทธเจ้ามาเขียนด้วยภาษาที่ง่าย ๆ มีความยาวเพียง 93 ตอนสั้น ๆ, 1 ตอนคือ 1 หน้าและมีภาพลายเส้นประกอบทุกหน้า, บางตอนอาจจะต่างไปจากที่คนไทยเราเคยศึกษามาบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารับฟัง เช่น ตอนที่ 32 กล่าวถึงเด็กเลี้ยงแพะซึ่งผ่านมาเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นลมหมดสติจึงนำนมแพะให้พระองค์เสวย คลิกอ่าน Story of the Buddha หรือ คลิกที่นี่
ผมเอาเนื้อหาในหนังสือ Story of the Buddha มาใส่บริการเสริมเข้าไปนิดหน่อย คือ เมื่อท่านคลิกเข้าไปในลิงค์ข้างล่างนี้แล้ว
(1) เมื่อท่านวางเมาส์ที่คำศัพท์ จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาไทย
(2) เมื่อท่านดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษในหน้าต่างใหม่
อ่านพุทธประวัติฉบับแปลศัพท์ เชิญคลิกที่นี่
อ่านพุทธประวัติเล่มนี้ได้ประโยชน์ 2 อย่างครับ คือ เป็นทั้งพุทธบูชา และฝึก Reading Skill ด้วย
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[202] mp3 การพูดธุรกิจทางโทรศัพท์เป็น ภ.อังกฤษ
สวัสดีครับ
การคุยทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุยเรื่องธุรกิจกับลูกค้าโดยใช้ภาษาอังกฤษ แม้ไม่เห็นหน้ากัน แต่ก็อาจจะยากกว่าการคุยแบบเห็นหน้า เพราะถ้าจะให้คุยและประสบความสำเร็จอาจจะต้องมีการเตรียมตัวหรือฝึกฝนพอสมควร เช่น ในเรื่องเนื้อหาและภาษาที่ใช้พูดคุย รวมทั้งเรื่องน้ำเสียง
ผมได้รวบรวมเว็บเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์ข้างล่างนี้
[75] พูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์
[274]เว็บสำหรับท่านที่ต้องรับโทรศัพท์ชาวต่างชาติ
[204] ตำราสอนการสนทนา 2 เล่ม ฟรี !!
การพูดโทรศัพท์ ( Talking on the phone )
การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ (speaking on the phone)(เพิ่ม 2 สค 52)
วันนี้ผมขอเสนอเพิ่มเติมอีกลิงค์หนึ่ง คือ Telephoning
ลิงค์นี้เป็น mp 3 ซึ่งท่านสามารถฟังขณะต่อเน็ต หรือดาวน์โหลดไฟล์เก็บไว้ฟังก็ได้ เนื้อหาคือการพูดธุรกิจทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ละตอนยาวประมาณ 10 กว่านาที ณ วันนี้ (17 พค 51) มีทั้งหมด 13 เรื่อง เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการติดต่อกับผู้รับบริการ หรือลูกค้า หรือผู้ที่เรามุ่งหวังจะให้เป็นลูกค้า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเราโทรไปหาเขาหรือเขาโทรมาหาเรา ผลที่ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้เมื่อสิ้นสุดการสนทนาคือลูกค้าพอใจในบริการของเรา
เชิญได้ที่เว็บนี้ครับ Telephoning
ผมขอแนะนำว่าในแต่ละตอนที่ท่านจะศึกษา ให้ท่านคลิกที่ Read More และอ่านให้เข้าใจซะก่อน [ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Premium Members: Study Notes Online Exercises PhraseCast นั้น เฉพาะคนที่จ่ายเงินค่าสมาชิกเท่านั้นจึงจะเข้าไปอ่านข้อมูลได้)
เมื่ออ่านจบแล้วให้ท่านคลิกที่หัวลูกศรสีแดงเพื่อฟัง mp3
เสียงใน mp 3 ที่บรรยายไม่เร็วและพูดชัดมาก ลองฟังไปเรื่อย ๆ น่าจะจับใจความได้ไม่ยากนัก
Format ในการพูดในไฟล์ mp3 นี้น่าสนใจครับ
1.เริ่มต้นด้วยการอารัมภบทเนื้อหาของแต่ละตอน และตั้งคำถามให้ผู้ศึกษาเตรียมมองหาคำตอบจากสิ่งที่จะฟังต่อไป
2. ให้ฟังบทสนทนาจริง ๆ ซึ่งอาจจะมี 2 แบบ คือ บทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ผิด และบทสนทนาที่ดีซึ่งควรจดจำ
3. เอาประโยค และคำพูดในบทสนทนาที่เพิ่งฟังจบมาอธิบายว่า พูดโทรศัพท์แบบใดดี แบบใดไม่ดี บางทีก็เว้นให้เราฝึกพูดตาม
4. เปิดโอกาสให้เราฝึกพูดตาม
5. มีแบบฝึกหัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราพูด เพื่อ Test ความเข้าใจและการเรียนรู้ของเรา
และที่บรรทัดใต้หัวลูกศรสีแดง ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp 3 โดยคลิกขวาที่คำว่า Download สีแดง, คลิกซ้าย Save Target As.. และหาที่ Save ไว้ในเครื่อง (ควรจะ Save ทั้งไฟล์ Mp3 และไฟล์ข้อความ และเก็บไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน)
ไฟล์ mp3 ชุดนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะนอกจากจะได้รับคำแนะนำและการฝึกหัดในการพูดโทรศัพท์ที่ถูกต้องแล้วแล้ว ยังได้ฝึก listening skill อีกด้วย
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
การคุยทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุยเรื่องธุรกิจกับลูกค้าโดยใช้ภาษาอังกฤษ แม้ไม่เห็นหน้ากัน แต่ก็อาจจะยากกว่าการคุยแบบเห็นหน้า เพราะถ้าจะให้คุยและประสบความสำเร็จอาจจะต้องมีการเตรียมตัวหรือฝึกฝนพอสมควร เช่น ในเรื่องเนื้อหาและภาษาที่ใช้พูดคุย รวมทั้งเรื่องน้ำเสียง
ผมได้รวบรวมเว็บเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์ข้างล่างนี้
[75] พูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์
[274]เว็บสำหรับท่านที่ต้องรับโทรศัพท์ชาวต่างชาติ
[204] ตำราสอนการสนทนา 2 เล่ม ฟรี !!
การพูดโทรศัพท์ ( Talking on the phone )
การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ (speaking on the phone)(เพิ่ม 2 สค 52)
วันนี้ผมขอเสนอเพิ่มเติมอีกลิงค์หนึ่ง คือ Telephoning
ลิงค์นี้เป็น mp 3 ซึ่งท่านสามารถฟังขณะต่อเน็ต หรือดาวน์โหลดไฟล์เก็บไว้ฟังก็ได้ เนื้อหาคือการพูดธุรกิจทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ละตอนยาวประมาณ 10 กว่านาที ณ วันนี้ (17 พค 51) มีทั้งหมด 13 เรื่อง เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการติดต่อกับผู้รับบริการ หรือลูกค้า หรือผู้ที่เรามุ่งหวังจะให้เป็นลูกค้า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเราโทรไปหาเขาหรือเขาโทรมาหาเรา ผลที่ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้เมื่อสิ้นสุดการสนทนาคือลูกค้าพอใจในบริการของเรา
เชิญได้ที่เว็บนี้ครับ Telephoning
ผมขอแนะนำว่าในแต่ละตอนที่ท่านจะศึกษา ให้ท่านคลิกที่ Read More และอ่านให้เข้าใจซะก่อน [ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Premium Members: Study Notes Online Exercises PhraseCast นั้น เฉพาะคนที่จ่ายเงินค่าสมาชิกเท่านั้นจึงจะเข้าไปอ่านข้อมูลได้)
เมื่ออ่านจบแล้วให้ท่านคลิกที่หัวลูกศรสีแดงเพื่อฟัง mp3
เสียงใน mp 3 ที่บรรยายไม่เร็วและพูดชัดมาก ลองฟังไปเรื่อย ๆ น่าจะจับใจความได้ไม่ยากนัก
Format ในการพูดในไฟล์ mp3 นี้น่าสนใจครับ
1.เริ่มต้นด้วยการอารัมภบทเนื้อหาของแต่ละตอน และตั้งคำถามให้ผู้ศึกษาเตรียมมองหาคำตอบจากสิ่งที่จะฟังต่อไป
2. ให้ฟังบทสนทนาจริง ๆ ซึ่งอาจจะมี 2 แบบ คือ บทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ผิด และบทสนทนาที่ดีซึ่งควรจดจำ
3. เอาประโยค และคำพูดในบทสนทนาที่เพิ่งฟังจบมาอธิบายว่า พูดโทรศัพท์แบบใดดี แบบใดไม่ดี บางทีก็เว้นให้เราฝึกพูดตาม
4. เปิดโอกาสให้เราฝึกพูดตาม
5. มีแบบฝึกหัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราพูด เพื่อ Test ความเข้าใจและการเรียนรู้ของเรา
และที่บรรทัดใต้หัวลูกศรสีแดง ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp 3 โดยคลิกขวาที่คำว่า Download สีแดง, คลิกซ้าย Save Target As.. และหาที่ Save ไว้ในเครื่อง (ควรจะ Save ทั้งไฟล์ Mp3 และไฟล์ข้อความ และเก็บไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน)
ไฟล์ mp3 ชุดนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะนอกจากจะได้รับคำแนะนำและการฝึกหัดในการพูดโทรศัพท์ที่ถูกต้องแล้วแล้ว ยังได้ฝึก listening skill อีกด้วย
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[201] อีก 1 เว็บดีเพื่อการศึกษาภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้ http://www.efl.net/index.htm มีหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาภาษาอังกฤษ ผมขอยกมา 4 ลิงค์ข้างล่างนี้ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก ๆ ท่านเข้าไปแล้วอ่านคำแนะนำก่อนใช้งานนะครับ
Audio Articles (ฟัง mp3, อ่าน script บทความ, ดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์เพื่อดูความหมาย)
http://www.efl.net/articles.htm
ComAudio (มีเรื่องให้อ่าน ฟัง ทำแบบฝึกหัด เปิดดิก)
http://www.efl.net/caol.htm
Proverbs (มี Test สนุก ๆ ให้ทำ)
http://www.bbti.nl/efl/proverbs.htm
Links (รวมลิงค์ฟรีคุณภาพดีในการศึกษาภาษาอังกฤษ)
http://www.efl.net/links.htm#Learn_English__On-Line
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ที่เว็บนี้ http://www.efl.net/index.htm มีหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาภาษาอังกฤษ ผมขอยกมา 4 ลิงค์ข้างล่างนี้ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก ๆ ท่านเข้าไปแล้วอ่านคำแนะนำก่อนใช้งานนะครับ
Audio Articles (ฟัง mp3, อ่าน script บทความ, ดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์เพื่อดูความหมาย)
http://www.efl.net/articles.htm
ComAudio (มีเรื่องให้อ่าน ฟัง ทำแบบฝึกหัด เปิดดิก)
http://www.efl.net/caol.htm
Proverbs (มี Test สนุก ๆ ให้ทำ)
http://www.bbti.nl/efl/proverbs.htm
Links (รวมลิงค์ฟรีคุณภาพดีในการศึกษาภาษาอังกฤษ)
http://www.efl.net/links.htm#Learn_English__On-Line
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[200] อ่าน-ดาวน์โหลด ‘คำคมเพื่อความสำเร็จ’
สวัสดีครับ
ผมไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ ‘SUCCESS QUOTES’ หรือ ‘คำคมเพื่อความสำเร็จ’ เขารวบรวมคำคมจากนักเขียนที่มีชื่อเสียง 8 คนข้างล่างนี้ หลายคนคอหนังสือแปลเมืองไทยคงรู้จักดี เพราะมีผู้แปลผลงานของเขาเป็นภาษาไทยหลายเล่ม
1. Anthony Robbins
2. Dr. Stephen Covey
3. Brian Tracy
4. Jim Rohn
5. Mark Victor Hanson
6. Dale Carnegie
7.Napoleon Hill
8. Robert T. Kiyosaki
ผมเชื่อว่า หนังสือ ‘SUCCESS QUOTES’ หรือ ‘คำคมเพื่อความสำเร็จ’ น่าจะมีประโยชน์สำหรับหลายท่านไม่มากก็น้อย และขอเอามาเสนอ 4 เวอร์ชั่นข้างล่างนี้ให้ท่านเลือกใช้ตามสะดวก
[1] ไฟล์ pdf
http://ebookdirectory.com/dl/successbrand7.pdf
[2] ไฟล์ WORD
successquotes.doc
[3] เมื่อดับเบิ้ลคลิกศัพท์คำใด จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ
http://english-for-u.blogspot.com/2008/05/12.html
[4] เมื่อเอาเมาส์วางที่ศัพท์คำใด จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาไทย; และเมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ศัพท์คำนั้น ก็จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ
successquotes.htm
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ ‘SUCCESS QUOTES’ หรือ ‘คำคมเพื่อความสำเร็จ’ เขารวบรวมคำคมจากนักเขียนที่มีชื่อเสียง 8 คนข้างล่างนี้ หลายคนคอหนังสือแปลเมืองไทยคงรู้จักดี เพราะมีผู้แปลผลงานของเขาเป็นภาษาไทยหลายเล่ม
1. Anthony Robbins
2. Dr. Stephen Covey
3. Brian Tracy
4. Jim Rohn
5. Mark Victor Hanson
6. Dale Carnegie
7.Napoleon Hill
8. Robert T. Kiyosaki
ผมเชื่อว่า หนังสือ ‘SUCCESS QUOTES’ หรือ ‘คำคมเพื่อความสำเร็จ’ น่าจะมีประโยชน์สำหรับหลายท่านไม่มากก็น้อย และขอเอามาเสนอ 4 เวอร์ชั่นข้างล่างนี้ให้ท่านเลือกใช้ตามสะดวก
[1] ไฟล์ pdf
http://ebookdirectory.com/dl/successbrand7.pdf
[2] ไฟล์ WORD
successquotes.doc
[3] เมื่อดับเบิ้ลคลิกศัพท์คำใด จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ
http://english-for-u.blogspot.com/2008/05/12.html
[4] เมื่อเอาเมาส์วางที่ศัพท์คำใด จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาไทย; และเมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ศัพท์คำนั้น ก็จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ
successquotes.htm
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[199] วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
สวัสดีครับ
ตั้งแต่ทำ Blog นี้มาได้ประมาณปีครึ่ง เรื่องหนึ่งที่ผมถูกถามบ่อยคือ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง?” ถ้าให้ผมตอบอย่างสั้นและตรงที่สุด ผมก็จะตอบว่า “ก็ฝึกพูดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งเองแหละ”
แต่วันนี้ผมขออนุญาตคุยยาว ๆ สักนิดนะครับ
เราทุกคนรู้ว่าทุกภาษามีอยู่ 4 ทักษะ คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และถ้าเป็นการเรียนภาษาแม่อย่างคนไทยเรียนภาษาไทย เราก็จะฝึกทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน คนไทยทุกคนจึงฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยได้แม้ว่าจะเก่งไม่เท่ากันก็ตาม
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษที่เรากำลังพูดกันอยู่นี่แหละครับ ก็คือว่า ในแต่ละทักษะ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน นี้เราคนหนึ่ง ๆ นี้มีโอกาสฝึกแต่ละทักษะไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ผมขอยกตัวอย่างทีละคู่นะครับ
คู่ที่ 1 คือฝึกอ่านกับฟัง
อ่านกับฟังเป็น passive skill คือศึกษาได้โดยไม่ต้องมีคนอื่นประกบ ท่านเพียงมีหนังสือ 1 เล่ม หรือ CD 1 แผ่น แค่นี้ก็พอแล้วที่จะฝึกอ่านฝึกฟัง ที่ดียิ่งไปกว่านี้ก็คือ ท่านสามารถเช็คผลการอ่านหรือการฟังได้ด้วยตัวเองทันทีเลยว่า ท่านฝึกสำเร็จหรือไม่ คือถ้าอ่านหรือฟังรู้เรื่อง-เข้าใจ ก็ถือว่าสำเร็จ ง่าย ๆ แค่นี้เอง และการฝึกก็สะดวกมาก เพียงแค่พกติดตัวหนังสือเล่มนึง หรือเครื่องเล่น mp3 เครื่องหนึ่ง ก็สามารถฝึกอ่านฝึกฟังที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยสาเหตุนี้กระมังที่ผมได้รับคำถามน้อยมากเกี่ยวกับการอ่านและการฟัง เพราะทุกท่านสามารถฝึกเองได้อยู่แล้ว (ถ้าตั้งใจจะฝึก)
คู่ที่ 2 ฝึกการพูดและการเขียน
ผมได้รับคำถามเรื่องการพูด & เขียนมากกว่า การอ่าน & การฟัง ถ้าจะให้หาสาเหตุก็คงจะตรงกันข้ามกับคู่ที่ 1 คือ การพูดและการเขียนเป็น active skill โดยทั่วไปท่านต้องมี partner คือคนที่มาฟังท่านพูด และอ่านสิ่งที่ท่านเขียน และสำหรับคนไทยที่ฝึกภาษาอังกฤษ เราก็มักหวังในคน ๆ นั้นเป็น “ครู” ยิ่งเป็น “ครูฝรั่ง” ยิ่งดี จะได้ช่วยสอนเราว่า ควรจะพูดยังไง เขียนยังไง และถ้าเราพูดผิด เขียนผิด ก็ช่วยแก้ไขให้ด้วย เราไม่แน่ใจในวิธีการฝึกพูดคนเดียว หรือเขียนลงสมุดเก็บไว้อ่านคนเดียว เพราะเราไม่แน่ใจว่า ถ้าต้องพูดกับคนจริง ๆ เขาจะฟังเราพูดรู้เรื่องหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราเขียนถ้าคนอื่นอ่านมันจะตลกหรือเปล่า
คำถามที่ผมได้รับจึงมักจะออกมาอย่างนั้น คือให้ผมแนะนำอาจารย์สอนภาษาที่เก่งที่สุด โรงเรียนสอนภาษาที่ดีที่สุด และเทคนิคการฝึกพูดที่ได้ผลมากที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด หลายคนมี deadline รออยู่เบื้องหน้าใกล้ ๆ เช่น เดือนหน้าจะไปสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน, ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งใหม่ที่ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ บางคนก็แสดงความท้อแท้มาว่าไม่มีเงินสำหรับเสียค่าเรียนแพง ๆ เรื่องของเรื่องเลยกลายเป็นว่า คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีคือคนที่มีเงินมากพอสำหรับค่าเรียนแพง ๆ หรือเด็กที่ผู้ปกครองมีกะตังค์สามารถส่งลูกไปเข้า summer course หรือหลักสูตรพิเศษที่เมืองนอก ส่วนคนที่งบน้อยก็เลยพูดไม่ได้เขียนไม่ได้ ถ้าแถมเกลียดภาษาอังกฤษด้วยแล้ว ก็อ่านไม่ได้และฟังไม่ได้ตามไปด้วย และพอพูดถึง 4 ทักษะนี้ที่เรียนมาจากโรงเรียนนับสิบปี ก็กลายเป็นว่าเรียนเพื่อให้สอบได้แต่ใช้งานจริง ๆ ไม่ได้ ฟังดูแล้วน่าหดหู่ใจ
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลืมความขุ่นข้องหมองใจและความง่อยเปลี้ยเสียขา, ถ้ามี, ในการเรียนภาษาอังกฤษของท่านทิ้งไปให้หมด ผมเชื่อว่าเราเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้
ย้อนไปถึงเรื่องที่เป็นหัวข้อข้างต้นนี้ “วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน” เป็นไปได้หรือ? ผมกำลังจะบอกท่านว่า ถ้าเรามีเงินที่จะไปเรียนกับครู ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่มีเงินพอ – ไม่มีเวลาพอ ก็จำเป็นครับที่เราจะต้องฝึกพูดโดยไม่มีครูสอน ท่านไม่ต้องใจร้อนหรือมองหาทางลัดหรอกครับ เพราะทางลัดในการเรียนภาษาอังกฤษไม่มีอยู่ในโลกนี้ มีแต่ทางตรงที่เราต้องขยันเดินไม่หยุดเท่านั้นเอง
เรื่องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลนี้ เราจะลืมเรื่องการอ่านและการฟังไม่ได้เด็ดขาด การอ่านทำให้เรารู้สำนวน และการฟังทำให้เรารู้สำเนียง ทั้งสำนวนและสำเนียงที่ค่อย ๆ สะสมไว้นี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีมากเมื่อเราฝึกพูด การฝึกพูดที่จะเอาแต่พูด พูด พูด… แต่ไม่สนใจเรื่องฝึกฟังและฝึกอ่าน ไปได้ไม่ไกลหรอกครับ และใน Blog นี้ก็แนะนำเว็บไซต์มากพอสมควรสำหรับฝึกอ่านและฝึกฟัง คลิกที่นี่ครับ รวมเว็บฝึกอ่าน *** รวมเว็บฝึกฟัง ***รวมเว็บดูวีดิโอ
“วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน” ผมขอแนะดังนี้ครับ
[1]. ใช้วิธี play – pause – repeat: ผมพูดเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างละเอียดที่นี่ [409]สูตรสำเร็จในการฝึกพูดกับเว็บ:Play-Pause-Repeat
[2]. ใช้วิธี think – talk: คือฝึกพูดกับ partner ในจินตนาการ ให้เราคิดวางแผนว่า เราจะพูดรื่องอะไร มีเนื้อหาอย่างไร พูดกับใคร นานกี่นาที อาจจะเตรียมเขียนสิ่งที่จะพูดลงกระดาษไว้เลยก็ได้ พอถึงเวลาก็นั่งลง - จับเวลา – และสร้างจินตนาการว่าคนที่เราพูดด้วย หรือคนที่เราจะพูดให้ฟังนั่งอยู่ข้างหน้า เราอาจจะ start ด้วยตั้งใจว่าจะต้องพูดให้ได้ครบ 5 นาที และก็ต้องทำให้ได้ ต่อไปอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 10 นาที, ฝึกพูดช้า ๆ ชัด ๆ
สำหรับบางท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ และคิดว่าผมแนะนำอะไรก็ไม่รู้ ฝึกคนเดียวไม่มีครูมันก็คงผิด ๆ พลาด ๆ จะได้ผลรึ? ผมเรียนท่านแล้วว่าการฝึกพูดแบบนี้ มีสำนวนและสำเนียงที่ค่อย ๆ สะสมไว้จากการอ่านและการฟังเป็นพื้นฐาน เรื่องที่ผมขอเน้นก็คือ ท่านอย่าได้ดูถูกความใฝ่ฝันและจินตนาการนะครับ ถ้าเรา dream และ do สิ่งที่เรามุ่งหวังไว้ก็จะ done มันไม่ไปไหนหรอกครับ
ท่านใดต้องการฝึกพูดอย่างนี้ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไร ลองคลิกหาไอเดียได้ที่นี่ครับ
[190]หัวข้อการฝึกพูด[ต้อง‘ได้พูด’ ถึงจะ ‘พูดได้’]
[3]. ใช้วิธี English phone conversation: ท่านลองนัดแนะกับเพื่อนที่รู้ใจว่า จะช่วยกันพัฒนา conversation skill โดยการสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ ทำไมต้องสนทนาทางโทรศัพท์ เพราะว่าคู่สนทนาจะได้พูดให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้เรื่อง และขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิเงี่ยหูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด จึงเป็นการฝึกทั้ง speaking และ listening skill โดยไม่ต้องอ่านภาษาหน้าหรือภาษาท่าท่าง การที่พูดกันต่อหน้าด้วยภาษาอังกฤษและเราเข้าใจ มันอาจจะเป็นความเข้าใจที่บวกกับการอ่านสีหน้าและท่าทาง แต่ถ้าคุยกันทางโทรศัพท์เราจะรู้ว่า เราพูดให้เพื่อนรู้เรื่องได้หรือเปล่า หรือเราสามารถฟังเพื่อนพูดรู้เรื่องหรือเปล่า ทั้งนี้เราอาจจะตกลงหัวข้อการพูดโดยเจาะจงไว้ก่อน ข้อสำคัญที่สุดของการฝึกวิธีนี้ก็คือ 1)ต้องพูดให้ครบตามเวลาที่ตกลงกันไว้ และ 2)ห้ามแทรกภาษาไทยระหว่างการพูดเด็ดขาด ยกเว้นชื่อเฉพาะ
ผมไม่แน่ใจว่า เราสามารถใช้โทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์มือถือพูดสายกันเกิน 2 คนหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็จะช่วยให้การพูดสนุกยิ่งขึ้น
[4]. รวบรวม stock sentence ที่ต้องใช้บ่อย: ถ้าท่านต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ประโยคที่ใช้พูดซ้ำ ๆ กันเป็นส่วนใหญ่ อย่างนี้ง่ายครับ ท่านก็พยายามรวบรวมประโยคเหล่านี้ไว้ให้หมด แปลเป็นภาษาไทย ฝึกพูดให้คล่อง ที่ลิงค์นี้มีตัวอย่างให้ท่านศึกษามากพอสมควร
[275] มาฝึกสนทนาภาษาอังกฤษกันหน่อยไหมครับ
[271] 50 ประโยคพื้นฐานที่ใช้ในการสนทนา ที่นี่ครับ....
[147] แจกไฟล์ MP3 พร้อมใช้ (conversation:ฟัง & พูด...
[75] พูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์
[177] การตั้งคำถามโดยใช้ 8 W และ 1 H
และ รวมลิงค์การสนทนาใน Blog นี้
การพูด การสนทนา การออกเสียง
[5]. สุดท้าย ร้องเพลงฝรั่ง: เรื่องนี้ผมแนะได้ แต่ทำเองไม่ได้ เพราะไม่ถนัดเอาจริง ๆ เลย แต่ผมเชื่อว่าวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษแบบนี้หลายคนใช้ได้ผล เลยเอามาเขียนพ่วงไว้
ท่านผู้อ่านครับ
บางคนพูดหรือฝึกพูดภาษาอังกฤษเพราะงานบังคับให้ต้องพูด บางคนพูดเพราะต้องติดต่อกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ได้รู้จักกัน เช่น โดยใช้โปรแกรม Skype บางคนพูดให้เป็นไว้จะได้ไปเที่ยวเมืองนอกสะดวกและสนุก แต่ไม่ว่าท่านจะพูดภาษาอังกฤษด้วยแรงผลักดันอะไรก็ตาม ท่านสามารถพูดได้แน่ ๆ ถ้าท่านพยายาม แม้ว่าจะเป็นการฝึกพูดภาษาอังกฤษที่ไม่มีครูสอนก็ตาม
พิพัฒน์
Pptstn@yahoo.com
ตั้งแต่ทำ Blog นี้มาได้ประมาณปีครึ่ง เรื่องหนึ่งที่ผมถูกถามบ่อยคือ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง?” ถ้าให้ผมตอบอย่างสั้นและตรงที่สุด ผมก็จะตอบว่า “ก็ฝึกพูดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งเองแหละ”
แต่วันนี้ผมขออนุญาตคุยยาว ๆ สักนิดนะครับ
เราทุกคนรู้ว่าทุกภาษามีอยู่ 4 ทักษะ คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน และถ้าเป็นการเรียนภาษาแม่อย่างคนไทยเรียนภาษาไทย เราก็จะฝึกทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน คนไทยทุกคนจึงฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยได้แม้ว่าจะเก่งไม่เท่ากันก็ตาม
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษที่เรากำลังพูดกันอยู่นี่แหละครับ ก็คือว่า ในแต่ละทักษะ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน นี้เราคนหนึ่ง ๆ นี้มีโอกาสฝึกแต่ละทักษะไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ผมขอยกตัวอย่างทีละคู่นะครับ
คู่ที่ 1 คือฝึกอ่านกับฟัง
อ่านกับฟังเป็น passive skill คือศึกษาได้โดยไม่ต้องมีคนอื่นประกบ ท่านเพียงมีหนังสือ 1 เล่ม หรือ CD 1 แผ่น แค่นี้ก็พอแล้วที่จะฝึกอ่านฝึกฟัง ที่ดียิ่งไปกว่านี้ก็คือ ท่านสามารถเช็คผลการอ่านหรือการฟังได้ด้วยตัวเองทันทีเลยว่า ท่านฝึกสำเร็จหรือไม่ คือถ้าอ่านหรือฟังรู้เรื่อง-เข้าใจ ก็ถือว่าสำเร็จ ง่าย ๆ แค่นี้เอง และการฝึกก็สะดวกมาก เพียงแค่พกติดตัวหนังสือเล่มนึง หรือเครื่องเล่น mp3 เครื่องหนึ่ง ก็สามารถฝึกอ่านฝึกฟังที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยสาเหตุนี้กระมังที่ผมได้รับคำถามน้อยมากเกี่ยวกับการอ่านและการฟัง เพราะทุกท่านสามารถฝึกเองได้อยู่แล้ว (ถ้าตั้งใจจะฝึก)
คู่ที่ 2 ฝึกการพูดและการเขียน
ผมได้รับคำถามเรื่องการพูด & เขียนมากกว่า การอ่าน & การฟัง ถ้าจะให้หาสาเหตุก็คงจะตรงกันข้ามกับคู่ที่ 1 คือ การพูดและการเขียนเป็น active skill โดยทั่วไปท่านต้องมี partner คือคนที่มาฟังท่านพูด และอ่านสิ่งที่ท่านเขียน และสำหรับคนไทยที่ฝึกภาษาอังกฤษ เราก็มักหวังในคน ๆ นั้นเป็น “ครู” ยิ่งเป็น “ครูฝรั่ง” ยิ่งดี จะได้ช่วยสอนเราว่า ควรจะพูดยังไง เขียนยังไง และถ้าเราพูดผิด เขียนผิด ก็ช่วยแก้ไขให้ด้วย เราไม่แน่ใจในวิธีการฝึกพูดคนเดียว หรือเขียนลงสมุดเก็บไว้อ่านคนเดียว เพราะเราไม่แน่ใจว่า ถ้าต้องพูดกับคนจริง ๆ เขาจะฟังเราพูดรู้เรื่องหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราเขียนถ้าคนอื่นอ่านมันจะตลกหรือเปล่า
คำถามที่ผมได้รับจึงมักจะออกมาอย่างนั้น คือให้ผมแนะนำอาจารย์สอนภาษาที่เก่งที่สุด โรงเรียนสอนภาษาที่ดีที่สุด และเทคนิคการฝึกพูดที่ได้ผลมากที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด หลายคนมี deadline รออยู่เบื้องหน้าใกล้ ๆ เช่น เดือนหน้าจะไปสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน, ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งใหม่ที่ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ บางคนก็แสดงความท้อแท้มาว่าไม่มีเงินสำหรับเสียค่าเรียนแพง ๆ เรื่องของเรื่องเลยกลายเป็นว่า คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีคือคนที่มีเงินมากพอสำหรับค่าเรียนแพง ๆ หรือเด็กที่ผู้ปกครองมีกะตังค์สามารถส่งลูกไปเข้า summer course หรือหลักสูตรพิเศษที่เมืองนอก ส่วนคนที่งบน้อยก็เลยพูดไม่ได้เขียนไม่ได้ ถ้าแถมเกลียดภาษาอังกฤษด้วยแล้ว ก็อ่านไม่ได้และฟังไม่ได้ตามไปด้วย และพอพูดถึง 4 ทักษะนี้ที่เรียนมาจากโรงเรียนนับสิบปี ก็กลายเป็นว่าเรียนเพื่อให้สอบได้แต่ใช้งานจริง ๆ ไม่ได้ ฟังดูแล้วน่าหดหู่ใจ
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลืมความขุ่นข้องหมองใจและความง่อยเปลี้ยเสียขา, ถ้ามี, ในการเรียนภาษาอังกฤษของท่านทิ้งไปให้หมด ผมเชื่อว่าเราเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้
ย้อนไปถึงเรื่องที่เป็นหัวข้อข้างต้นนี้ “วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน” เป็นไปได้หรือ? ผมกำลังจะบอกท่านว่า ถ้าเรามีเงินที่จะไปเรียนกับครู ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่มีเงินพอ – ไม่มีเวลาพอ ก็จำเป็นครับที่เราจะต้องฝึกพูดโดยไม่มีครูสอน ท่านไม่ต้องใจร้อนหรือมองหาทางลัดหรอกครับ เพราะทางลัดในการเรียนภาษาอังกฤษไม่มีอยู่ในโลกนี้ มีแต่ทางตรงที่เราต้องขยันเดินไม่หยุดเท่านั้นเอง
เรื่องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลนี้ เราจะลืมเรื่องการอ่านและการฟังไม่ได้เด็ดขาด การอ่านทำให้เรารู้สำนวน และการฟังทำให้เรารู้สำเนียง ทั้งสำนวนและสำเนียงที่ค่อย ๆ สะสมไว้นี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีมากเมื่อเราฝึกพูด การฝึกพูดที่จะเอาแต่พูด พูด พูด… แต่ไม่สนใจเรื่องฝึกฟังและฝึกอ่าน ไปได้ไม่ไกลหรอกครับ และใน Blog นี้ก็แนะนำเว็บไซต์มากพอสมควรสำหรับฝึกอ่านและฝึกฟัง คลิกที่นี่ครับ รวมเว็บฝึกอ่าน *** รวมเว็บฝึกฟัง ***รวมเว็บดูวีดิโอ
“วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน” ผมขอแนะดังนี้ครับ
[1]. ใช้วิธี play – pause – repeat: ผมพูดเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างละเอียดที่นี่ [409]สูตรสำเร็จในการฝึกพูดกับเว็บ:Play-Pause-Repeat
[2]. ใช้วิธี think – talk: คือฝึกพูดกับ partner ในจินตนาการ ให้เราคิดวางแผนว่า เราจะพูดรื่องอะไร มีเนื้อหาอย่างไร พูดกับใคร นานกี่นาที อาจจะเตรียมเขียนสิ่งที่จะพูดลงกระดาษไว้เลยก็ได้ พอถึงเวลาก็นั่งลง - จับเวลา – และสร้างจินตนาการว่าคนที่เราพูดด้วย หรือคนที่เราจะพูดให้ฟังนั่งอยู่ข้างหน้า เราอาจจะ start ด้วยตั้งใจว่าจะต้องพูดให้ได้ครบ 5 นาที และก็ต้องทำให้ได้ ต่อไปอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 10 นาที, ฝึกพูดช้า ๆ ชัด ๆ
สำหรับบางท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ และคิดว่าผมแนะนำอะไรก็ไม่รู้ ฝึกคนเดียวไม่มีครูมันก็คงผิด ๆ พลาด ๆ จะได้ผลรึ? ผมเรียนท่านแล้วว่าการฝึกพูดแบบนี้ มีสำนวนและสำเนียงที่ค่อย ๆ สะสมไว้จากการอ่านและการฟังเป็นพื้นฐาน เรื่องที่ผมขอเน้นก็คือ ท่านอย่าได้ดูถูกความใฝ่ฝันและจินตนาการนะครับ ถ้าเรา dream และ do สิ่งที่เรามุ่งหวังไว้ก็จะ done มันไม่ไปไหนหรอกครับ
ท่านใดต้องการฝึกพูดอย่างนี้ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไร ลองคลิกหาไอเดียได้ที่นี่ครับ
[190]หัวข้อการฝึกพูด[ต้อง‘ได้พูด’ ถึงจะ ‘พูดได้’]
[3]. ใช้วิธี English phone conversation: ท่านลองนัดแนะกับเพื่อนที่รู้ใจว่า จะช่วยกันพัฒนา conversation skill โดยการสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ ทำไมต้องสนทนาทางโทรศัพท์ เพราะว่าคู่สนทนาจะได้พูดให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้เรื่อง และขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิเงี่ยหูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด จึงเป็นการฝึกทั้ง speaking และ listening skill โดยไม่ต้องอ่านภาษาหน้าหรือภาษาท่าท่าง การที่พูดกันต่อหน้าด้วยภาษาอังกฤษและเราเข้าใจ มันอาจจะเป็นความเข้าใจที่บวกกับการอ่านสีหน้าและท่าทาง แต่ถ้าคุยกันทางโทรศัพท์เราจะรู้ว่า เราพูดให้เพื่อนรู้เรื่องได้หรือเปล่า หรือเราสามารถฟังเพื่อนพูดรู้เรื่องหรือเปล่า ทั้งนี้เราอาจจะตกลงหัวข้อการพูดโดยเจาะจงไว้ก่อน ข้อสำคัญที่สุดของการฝึกวิธีนี้ก็คือ 1)ต้องพูดให้ครบตามเวลาที่ตกลงกันไว้ และ 2)ห้ามแทรกภาษาไทยระหว่างการพูดเด็ดขาด ยกเว้นชื่อเฉพาะ
ผมไม่แน่ใจว่า เราสามารถใช้โทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์มือถือพูดสายกันเกิน 2 คนหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็จะช่วยให้การพูดสนุกยิ่งขึ้น
[4]. รวบรวม stock sentence ที่ต้องใช้บ่อย: ถ้าท่านต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ประโยคที่ใช้พูดซ้ำ ๆ กันเป็นส่วนใหญ่ อย่างนี้ง่ายครับ ท่านก็พยายามรวบรวมประโยคเหล่านี้ไว้ให้หมด แปลเป็นภาษาไทย ฝึกพูดให้คล่อง ที่ลิงค์นี้มีตัวอย่างให้ท่านศึกษามากพอสมควร
[275] มาฝึกสนทนาภาษาอังกฤษกันหน่อยไหมครับ
[271] 50 ประโยคพื้นฐานที่ใช้ในการสนทนา ที่นี่ครับ....
[147] แจกไฟล์ MP3 พร้อมใช้ (conversation:ฟัง & พูด...
[75] พูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์
[177] การตั้งคำถามโดยใช้ 8 W และ 1 H
และ รวมลิงค์การสนทนาใน Blog นี้
การพูด การสนทนา การออกเสียง
[5]. สุดท้าย ร้องเพลงฝรั่ง: เรื่องนี้ผมแนะได้ แต่ทำเองไม่ได้ เพราะไม่ถนัดเอาจริง ๆ เลย แต่ผมเชื่อว่าวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษแบบนี้หลายคนใช้ได้ผล เลยเอามาเขียนพ่วงไว้
ท่านผู้อ่านครับ
บางคนพูดหรือฝึกพูดภาษาอังกฤษเพราะงานบังคับให้ต้องพูด บางคนพูดเพราะต้องติดต่อกับเพื่อนชาวต่างชาติที่ได้รู้จักกัน เช่น โดยใช้โปรแกรม Skype บางคนพูดให้เป็นไว้จะได้ไปเที่ยวเมืองนอกสะดวกและสนุก แต่ไม่ว่าท่านจะพูดภาษาอังกฤษด้วยแรงผลักดันอะไรก็ตาม ท่านสามารถพูดได้แน่ ๆ ถ้าท่านพยายาม แม้ว่าจะเป็นการฝึกพูดภาษาอังกฤษที่ไม่มีครูสอนก็ตาม
พิพัฒน์
Pptstn@yahoo.com
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[198]'อาหรับราตรี'... นิยายโบราณอมตะ
สวัสดีครับ
ผมเข้าใจว่าหลายท่านคงเคยอ่านนิยายเรื่อง "อาหรับราตรี" กันมาแล้ว แต่อาจจะอ่านไม่จบเล่ม
'อาหรับราตรี' เป็นนิยายโบราณอมตะ ไม่รู้แน่ว่าใครแต่งและแต่งเมื่อไร แต่คงแต่งมานานหลายร้อยปีแล้ว เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชาซึ่งจับได้ว่ามเหสีมีชู้ก็เลยจับประหาร และหลังจากนั้นก็สั่งให้ส่งหญิงพรหมจรรย์เข้าไปร่วมบรรทมกับพระองค์ พอรุ่งขึ้นก็สั่งประหารชีวิตทุกคน อาจจะเพราะความแค้นผู้หญิง หรือเพื่อ make sure ว่าพระองค์ไม่มีทางถูกเมียหลอกเป็นชู้ได้อีก หรืออาจจะเป็นเพราะความวิปริตก็ได้ถึงได้คลั่งโหดอย่างนี้ สุดท้ายสาวพรหมจารีถูกฆ่าแทบจะหมดเมือง
จุดหักเหเกิดเมื่อลูกสาวปุโรหิตขอร้องพ่อให้ส่งตัวเองไปให้พระราชาจอมโหดคนนี้ และรับประกันกับพ่อว่าตนมีวิธีรับมือกับพระราชาและจะไม่ถูกสั่งประหาร พ่อยอมอย่างไม่เต็มใจ
คืนแรกหลังจากถวายงานเสร็จและถึงเวลาใกล้รุ่ง น้องสาวของนางเอกในเรื่องก็ทำตามแผนที่ได้นัดแนะกับพี่สาวไว้แล้ว (นางเอกได้ขออนุญาตพระราชาเอาน้องสาวไปนอนด้วย) คือขอให้พี่สาวเล่านิทานให้ฟัง นางเอกจึงขออนุญาตพระราชาเล่านิทานให้น้องสาวฟัง เมื่อพระราชาอนุญาตนางเอกก็เล่าเรื่องให้น้องสาวฟังเป็นการฆ่าเวลาก่อนที่จะถูกฆ่าตอนเช้า แต่เรื่องของเรื่องกลับกลายป็นว่า เรื่องที่เล่าสนุกมากและนางเอกเล่าไม่จบเพราะเช้าเสียก่อน และค้างอยู่ตอนที่ชวนคิดตาม รุ่งเข้าพระราชาก็เลยไม่ได้สั่งฆ่าเพราจะได้ฟังให้จบต่อจากที่ค้างไว้ คืนต่อ ๆ ไป นางเอกของเราก็ใช้ Trick เดิม และเล่าไปได้เป็นระยะเวลาถึง 1,001 คืน อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า One Thousand and One Nights หรือ The Arabian Nights
เนื่องจากนิยายโบราณเรื่องนี้มีหลาย version เหลือเกิน ตอนจบของแต่ละ version จึงต่างกันไปบ้าง บ้างก็จบด้วยการที่นางเอกขออภัยโทษและพระราชาก็ยกโทษให้ และไม่มีการฆ่าเมียอีกต่อไป, บ้างก็จบด้วยว่าพระราชาเห็นลูกที่เกิดกับนางเอกจึงตัดสินใจไม่ประหารเมีย, บ้างก็จบทำนองพระราชามีเรื่องอื่นให้สนใจก็เลยไม่ฆ่า แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไรก็เป็นอันว่า Happy ending
สิ่งที่ทำให้ "อาหรับราตรี" เป็นนิยายอมตะก็คือกระบวนการผูกเรื่อง หลายเรื่องตัวเอกเป็นคนเล่าเรื่อง และตัวเอกในเรื่องนั้นก็เล่าเรื่องซ้อน ๆ ต่อกันไปอีก จนน่าชวนติดตามอย่างยิ่ง เนื้อเรื่องมีทั้งการผจญภัย ผูกปม ซ่อนเงื่อน หรือบางส่วนก็โยงเข้ากับประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของอิสลาม เต็มไปด้วยจินตนาการที่ต้องชมว่าคนแต่งเป็นอัจฉริยะทีเดียว หลายเรื่องที่เล่าอยู่ใน "อาหรับราตรี" เราคนไทยคุ้นหูอยู่มาก เช่น อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ กะลาสีเรือซินแบค อาลีบาบา เป็นค้น
"อาหรับราตรี" ที่ผมนำมาฝากในวันนี้เป็น version ภาษาอังกฤษ แต่มีสิ่งพิเศษคือ เมื่อท่านดับเบิ้ลคลิกที่คำใด ก็จะปรากฏคำแปลจากดิกอังกฤษ - อังกฤษ ให้เห็นทันที ท่านจะได้รับทั้งความเพลิดเพลินและ Reading Skill ไปพร้อม ๆ กัน
ขอเชิญครับ
'อาหรับราตรี' ...1
"อาหรับราตรี" ...2
"อาหรับราตรี" ...3
สำหรับท่านที่ต้องการดาวน์โหลดหนังสือเล่ม "อาหรับราตรี"
เชิญ คลิกที่นี่ The_Arabian_Nights.pdf
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเข้าใจว่าหลายท่านคงเคยอ่านนิยายเรื่อง "อาหรับราตรี" กันมาแล้ว แต่อาจจะอ่านไม่จบเล่ม
'อาหรับราตรี' เป็นนิยายโบราณอมตะ ไม่รู้แน่ว่าใครแต่งและแต่งเมื่อไร แต่คงแต่งมานานหลายร้อยปีแล้ว เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชาซึ่งจับได้ว่ามเหสีมีชู้ก็เลยจับประหาร และหลังจากนั้นก็สั่งให้ส่งหญิงพรหมจรรย์เข้าไปร่วมบรรทมกับพระองค์ พอรุ่งขึ้นก็สั่งประหารชีวิตทุกคน อาจจะเพราะความแค้นผู้หญิง หรือเพื่อ make sure ว่าพระองค์ไม่มีทางถูกเมียหลอกเป็นชู้ได้อีก หรืออาจจะเป็นเพราะความวิปริตก็ได้ถึงได้คลั่งโหดอย่างนี้ สุดท้ายสาวพรหมจารีถูกฆ่าแทบจะหมดเมือง
จุดหักเหเกิดเมื่อลูกสาวปุโรหิตขอร้องพ่อให้ส่งตัวเองไปให้พระราชาจอมโหดคนนี้ และรับประกันกับพ่อว่าตนมีวิธีรับมือกับพระราชาและจะไม่ถูกสั่งประหาร พ่อยอมอย่างไม่เต็มใจ
คืนแรกหลังจากถวายงานเสร็จและถึงเวลาใกล้รุ่ง น้องสาวของนางเอกในเรื่องก็ทำตามแผนที่ได้นัดแนะกับพี่สาวไว้แล้ว (นางเอกได้ขออนุญาตพระราชาเอาน้องสาวไปนอนด้วย) คือขอให้พี่สาวเล่านิทานให้ฟัง นางเอกจึงขออนุญาตพระราชาเล่านิทานให้น้องสาวฟัง เมื่อพระราชาอนุญาตนางเอกก็เล่าเรื่องให้น้องสาวฟังเป็นการฆ่าเวลาก่อนที่จะถูกฆ่าตอนเช้า แต่เรื่องของเรื่องกลับกลายป็นว่า เรื่องที่เล่าสนุกมากและนางเอกเล่าไม่จบเพราะเช้าเสียก่อน และค้างอยู่ตอนที่ชวนคิดตาม รุ่งเข้าพระราชาก็เลยไม่ได้สั่งฆ่าเพราจะได้ฟังให้จบต่อจากที่ค้างไว้ คืนต่อ ๆ ไป นางเอกของเราก็ใช้ Trick เดิม และเล่าไปได้เป็นระยะเวลาถึง 1,001 คืน อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า One Thousand and One Nights หรือ The Arabian Nights
เนื่องจากนิยายโบราณเรื่องนี้มีหลาย version เหลือเกิน ตอนจบของแต่ละ version จึงต่างกันไปบ้าง บ้างก็จบด้วยการที่นางเอกขออภัยโทษและพระราชาก็ยกโทษให้ และไม่มีการฆ่าเมียอีกต่อไป, บ้างก็จบด้วยว่าพระราชาเห็นลูกที่เกิดกับนางเอกจึงตัดสินใจไม่ประหารเมีย, บ้างก็จบทำนองพระราชามีเรื่องอื่นให้สนใจก็เลยไม่ฆ่า แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไรก็เป็นอันว่า Happy ending
สิ่งที่ทำให้ "อาหรับราตรี" เป็นนิยายอมตะก็คือกระบวนการผูกเรื่อง หลายเรื่องตัวเอกเป็นคนเล่าเรื่อง และตัวเอกในเรื่องนั้นก็เล่าเรื่องซ้อน ๆ ต่อกันไปอีก จนน่าชวนติดตามอย่างยิ่ง เนื้อเรื่องมีทั้งการผจญภัย ผูกปม ซ่อนเงื่อน หรือบางส่วนก็โยงเข้ากับประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของอิสลาม เต็มไปด้วยจินตนาการที่ต้องชมว่าคนแต่งเป็นอัจฉริยะทีเดียว หลายเรื่องที่เล่าอยู่ใน "อาหรับราตรี" เราคนไทยคุ้นหูอยู่มาก เช่น อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ กะลาสีเรือซินแบค อาลีบาบา เป็นค้น
"อาหรับราตรี" ที่ผมนำมาฝากในวันนี้เป็น version ภาษาอังกฤษ แต่มีสิ่งพิเศษคือ เมื่อท่านดับเบิ้ลคลิกที่คำใด ก็จะปรากฏคำแปลจากดิกอังกฤษ - อังกฤษ ให้เห็นทันที ท่านจะได้รับทั้งความเพลิดเพลินและ Reading Skill ไปพร้อม ๆ กัน
ขอเชิญครับ
'อาหรับราตรี' ...1
"อาหรับราตรี" ...2
"อาหรับราตรี" ...3
สำหรับท่านที่ต้องการดาวน์โหลดหนังสือเล่ม "อาหรับราตรี"
เชิญ คลิกที่นี่ The_Arabian_Nights.pdf
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[197] Free online ! Story สำหรับทุกท่าน
สวัสดีครับ
ผมมาคิดเล่น ๆ ว่า ทำไมคนไทยจึงบ่นคนไทยด้วยกันเองว่า เรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้? ความเห็นของผมก็ง่าย ๆ ครับ คือ output = input
ถ้า output ที่เราต้องการ คือ พูดได้ – เขียนได้, input ที่เราต้องใส่เข้าไปก็น่าจะเป็น ได้พูด – ได้เขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ได้พูด’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ เรามีโอกาสได้พูดน้อยมาก เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็น่าจะชดเชยด้วยการ ‘ได้ฟัง’ หรือ ‘ได้อ่าน’ เยอะ ๆ เพื่อให้การอ่านและการฟังเป็นพื้นฐานของการพูด
แต่ความจริงที่น่าเศร้าอีกก็คือ ตามตัวเลขที่ได้จากการศึกษา คนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก อ่านภาษาไทยก็น้อยอยู่แล้ว อ่านภาษาอังกฤษยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ผมว่าเรามาเริ่มต้นกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย เรามาอ่านกันเยอะ ๆ อ่านกันเป็นประจำทุกวัน และการอ่านนี่แหละครับ เมื่อชำนาญแล้วจะเป็นพิ้นฐานที่ดีที่ช่วยให้เราพูดได้ – และเขียนได้
ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่อง หรือ Story สนุก ๆ ให้เราอ่านฟรีมากมาย ลองหาให้พบเรื่องที่ท่านชอบและอ่านให้จบสัก 1 เล่ม ถ้าเล่มแรกทำสำเร็จ เล่มที่สองก็จะตามมาเองแหละครับ
วรรณกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
เว็บนี้ มีหลายเรื่องให้อ่าน ผมยกชื่อเรื่องที่หลายท่านอาจจะคุ้นเคย
Aesop's Fables
Aladdin and the Wonderful Lamp
Dracula
Frankenstein
King Solomon's Mines
Tarzan of the Apes
แล้วก็ยังมีอีกมากมายหลายเว็บให้ท่านเลือก
http://www.e-book.com.au/freebooks.htm
http://www.browzerbooks.com/novels.htm
free novels online for young people
รวมลิงค์ reading ใน Blog นี้
ถ้าต้องการเปิดดิกก็คลิกที่นี่ครับ
http://www.babylon.com/define/122
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมมาคิดเล่น ๆ ว่า ทำไมคนไทยจึงบ่นคนไทยด้วยกันเองว่า เรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้? ความเห็นของผมก็ง่าย ๆ ครับ คือ output = input
ถ้า output ที่เราต้องการ คือ พูดได้ – เขียนได้, input ที่เราต้องใส่เข้าไปก็น่าจะเป็น ได้พูด – ได้เขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ได้พูด’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ เรามีโอกาสได้พูดน้อยมาก เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็น่าจะชดเชยด้วยการ ‘ได้ฟัง’ หรือ ‘ได้อ่าน’ เยอะ ๆ เพื่อให้การอ่านและการฟังเป็นพื้นฐานของการพูด
แต่ความจริงที่น่าเศร้าอีกก็คือ ตามตัวเลขที่ได้จากการศึกษา คนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก อ่านภาษาไทยก็น้อยอยู่แล้ว อ่านภาษาอังกฤษยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ผมว่าเรามาเริ่มต้นกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย เรามาอ่านกันเยอะ ๆ อ่านกันเป็นประจำทุกวัน และการอ่านนี่แหละครับ เมื่อชำนาญแล้วจะเป็นพิ้นฐานที่ดีที่ช่วยให้เราพูดได้ – และเขียนได้
ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่อง หรือ Story สนุก ๆ ให้เราอ่านฟรีมากมาย ลองหาให้พบเรื่องที่ท่านชอบและอ่านให้จบสัก 1 เล่ม ถ้าเล่มแรกทำสำเร็จ เล่มที่สองก็จะตามมาเองแหละครับ
วรรณกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
เว็บนี้ มีหลายเรื่องให้อ่าน ผมยกชื่อเรื่องที่หลายท่านอาจจะคุ้นเคย
Aesop's Fables
Aladdin and the Wonderful Lamp
Dracula
Frankenstein
King Solomon's Mines
Tarzan of the Apes
แล้วก็ยังมีอีกมากมายหลายเว็บให้ท่านเลือก
http://www.e-book.com.au/freebooks.htm
http://www.browzerbooks.com/novels.htm
free novels online for young people
รวมลิงค์ reading ใน Blog นี้
ถ้าต้องการเปิดดิกก็คลิกที่นี่ครับ
http://www.babylon.com/define/122
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[196]ประเทศอื่นลงข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยยังไงบ้าง?
สวัสดีครับ
ผมเคยสงสัยเล่น ๆ ว่าในสายตาของชาวโลกประเทศไทยของเรานี่ดังหรือมีชื่อเสียงขนาดไหน คิดไปคิดมาก็นึกถึงวิธีหาคำตอบง่าย ๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะพอตอบคำถามได้ โดยผมลองพิมพ์ชื่อประเทศต่าง ๆ ลงไปใน http://www.google.com/ แล้วดูตัวเลขจำนวน web page ที่ Google แสดง, ได้ผลอย่างนี้ครับ
China 810 ล้านหน้า
India 472 ล้านหน้า
Indonesia 302 ล้านหน้า
Thailand 257 ล้านหน้า
Singapore 235 ล้านหน้า
Malaysia 199 ล้านหน้า
Philippines 158 ล้านหน้า
Myanmar 71.5 ล้านหน้า
นี่แสดงว่า Thailand เราก็ดังพอสมควร ขนาด ประเทศมาเลเซียหรือสิงคโปร์ซึ่งรวยขนาดนั้นยังมีตัวเลขน้อยกว่าเราตั้งเยอะแยะ
เรื่องต่อไปที่ผมสงสัยก็คือว่า เมื่อประเทศไทยดังขนาดนี้ประเทศอื่น ๆ เขารู้ข่าวประเทศไทยยังไงบ้าง แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น CNN หรือ BBC ออกข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยออกไปอย่างไร ชาวโลกส่วนใหญ่ก็คงมองเมืองไทยว่าอย่างนั้น
แต่ถึงกระนั้นก็อย่างมีอย่างหนึ่งที่สะกิดใจ มีอยู่สองคราวที่ผมไปอบรมที่เยอรมนีและอินเดียและได้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในประเทศนั้นบ่อย ๆ ผมจึงได้รู้ว่าทัศนะในการวิเคราะห์ข่าว World News ในสองประเทศนั้นไม่เหมือนกันนักกับการเสนอข่าวของ CNN หรือ BBC เราคนไทยบริโภคแต่ข่าวที่มาจากอังกฤษกับอเมริกา ก็อาจจะคิดไปว่าคนทั้งโลกคิดเหมือน 2 ประเทศนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ หรือบางประเทศอาจจะคิดตรงกันข้ามกับ 2 ยักษ์นี้ก็ได้
ผมก็เลยมาถามตัวเองว่า แล้วปรเทศอื่นเขาลงข่าวเกี่ยวกับเมืองไทย หรือมีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับประเทศไทยยังไงบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดในการตอบคำถามนี้ก็คืออ่านข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยที่หนังสือพิมพ์ในประเทศนั้น ๆ ลงตีพิมพ์ ไม่ใช่เอาแต่อ่าน CNN หรือ BBC
แต่จะไปหาอ่านได้ที่ไหนล่ะครับ?
ก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ วิธีหาก็ง่าย ๆ โดยไปที่
Google News Advances Search แล้วพิมพ์คำว่า Thai Thailand ลงไป พร้อมกับระบุแหล่งข่าว (News Source Location) เป็นชื่อประเทศที่เราต้องการ เพียงเท่านี้ Google News ก็จะแสดงข่าวในประเทศนั้น ๆ ที่มีคำว่า Thai หรือ Thailand ตีพิมพ์ไว้
ด้วยวิธีเช่นนี้ ผมจึงขอชวนท่านอ่านข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยที่ นสพ.ในประเทศต่าง ๆ ลงตีพิมพ์ ผมคัดมาได้ประมาณ 20 ประเทศ หลาย ๆ ข่าวก็ซ้ำ ๆ กับที่หนังสือพิมพ์บ้านเราลงตีพิมพ์ แต่บางประเทศอาจจะลงข่าวไม่ครบถ้วนตามเรื่องที่เกิดจริง, หรือลงข่าวแบบมีอคติ, หรือลงข่าวจริงมากกว่าที่ลงตีพิมพ์ในประเทศไทย, หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไทยที่ไปเป็นข่าวในประเทศนั้น หรือเป็นเรื่องที่ประเทศไทยไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายของประเทศเขา ฯลฯ
ประโยชน์จากการอ่านนอกจากรู้เรื่องราวของไทยในสายตาคนชาติอื่นแล้ว เรายังได้อ่าน style การเขียนภาษาอังกฤษของแต่ละชาติ จริงอยู่ เขาก็เขียนตามมาตรฐานสากล แต่มันก็คงมีศัพท์สำนวนอะไรอยู่บ้างให้เราอ่านและเห็นความแตกต่างที่แต่ละชาติมีไม่เหมือนกัน
เชิญคลิกอ่านข้างล่างนี้ได้เลยครับ
[ที่ส่วนบนของหน้า ใต้เส้นสีแดง ท่านสามารถเลือกคลิก Standard Version / Text Version / Image Version ได้ตามต้องการ]
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ จีน
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ญี่ปุ่น
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศมาเลเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สิงคโปร์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อินเดีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ไต้หวัน
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ฟิลิปปินส์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อินโดนีเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ เวียดนาม
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อังกฤษ
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สหรัฐอเมริกา
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ เยอรมนี
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ฝรั่งเศส
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ รัสเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ แอฟริกาใต้
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ แคนาดา
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ นิวซีแลนด์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ออสเตรเลีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศกัมพูชา
The Cambodia Daily
The Phnom Penh Post
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ลาว
Lao News Agency
[สำหรับกัมพูชาและลาว ข่าวอาจจะเก่าหน่อยครับ]
ส่วนข้างล่างนี้เป็นข่าวเมืองไทยที่สำนักข่าวต่างประเทศตีพิมพ์
ข่าว BBC
ข่าว CNN
ข่าว Reuters
ข่าว Xinhua
ข่าว Google News
ข่าว Yahoo News
หวังว่าทุกท่านจะได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินนะครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเคยสงสัยเล่น ๆ ว่าในสายตาของชาวโลกประเทศไทยของเรานี่ดังหรือมีชื่อเสียงขนาดไหน คิดไปคิดมาก็นึกถึงวิธีหาคำตอบง่าย ๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะพอตอบคำถามได้ โดยผมลองพิมพ์ชื่อประเทศต่าง ๆ ลงไปใน http://www.google.com/ แล้วดูตัวเลขจำนวน web page ที่ Google แสดง, ได้ผลอย่างนี้ครับ
China 810 ล้านหน้า
India 472 ล้านหน้า
Indonesia 302 ล้านหน้า
Thailand 257 ล้านหน้า
Singapore 235 ล้านหน้า
Malaysia 199 ล้านหน้า
Philippines 158 ล้านหน้า
Myanmar 71.5 ล้านหน้า
นี่แสดงว่า Thailand เราก็ดังพอสมควร ขนาด ประเทศมาเลเซียหรือสิงคโปร์ซึ่งรวยขนาดนั้นยังมีตัวเลขน้อยกว่าเราตั้งเยอะแยะ
เรื่องต่อไปที่ผมสงสัยก็คือว่า เมื่อประเทศไทยดังขนาดนี้ประเทศอื่น ๆ เขารู้ข่าวประเทศไทยยังไงบ้าง แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น CNN หรือ BBC ออกข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยออกไปอย่างไร ชาวโลกส่วนใหญ่ก็คงมองเมืองไทยว่าอย่างนั้น
แต่ถึงกระนั้นก็อย่างมีอย่างหนึ่งที่สะกิดใจ มีอยู่สองคราวที่ผมไปอบรมที่เยอรมนีและอินเดียและได้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในประเทศนั้นบ่อย ๆ ผมจึงได้รู้ว่าทัศนะในการวิเคราะห์ข่าว World News ในสองประเทศนั้นไม่เหมือนกันนักกับการเสนอข่าวของ CNN หรือ BBC เราคนไทยบริโภคแต่ข่าวที่มาจากอังกฤษกับอเมริกา ก็อาจจะคิดไปว่าคนทั้งโลกคิดเหมือน 2 ประเทศนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ หรือบางประเทศอาจจะคิดตรงกันข้ามกับ 2 ยักษ์นี้ก็ได้
ผมก็เลยมาถามตัวเองว่า แล้วปรเทศอื่นเขาลงข่าวเกี่ยวกับเมืองไทย หรือมีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับประเทศไทยยังไงบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดในการตอบคำถามนี้ก็คืออ่านข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยที่หนังสือพิมพ์ในประเทศนั้น ๆ ลงตีพิมพ์ ไม่ใช่เอาแต่อ่าน CNN หรือ BBC
แต่จะไปหาอ่านได้ที่ไหนล่ะครับ?
ก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ วิธีหาก็ง่าย ๆ โดยไปที่
Google News Advances Search แล้วพิมพ์คำว่า Thai Thailand ลงไป พร้อมกับระบุแหล่งข่าว (News Source Location) เป็นชื่อประเทศที่เราต้องการ เพียงเท่านี้ Google News ก็จะแสดงข่าวในประเทศนั้น ๆ ที่มีคำว่า Thai หรือ Thailand ตีพิมพ์ไว้
ด้วยวิธีเช่นนี้ ผมจึงขอชวนท่านอ่านข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยที่ นสพ.ในประเทศต่าง ๆ ลงตีพิมพ์ ผมคัดมาได้ประมาณ 20 ประเทศ หลาย ๆ ข่าวก็ซ้ำ ๆ กับที่หนังสือพิมพ์บ้านเราลงตีพิมพ์ แต่บางประเทศอาจจะลงข่าวไม่ครบถ้วนตามเรื่องที่เกิดจริง, หรือลงข่าวแบบมีอคติ, หรือลงข่าวจริงมากกว่าที่ลงตีพิมพ์ในประเทศไทย, หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไทยที่ไปเป็นข่าวในประเทศนั้น หรือเป็นเรื่องที่ประเทศไทยไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายของประเทศเขา ฯลฯ
ประโยชน์จากการอ่านนอกจากรู้เรื่องราวของไทยในสายตาคนชาติอื่นแล้ว เรายังได้อ่าน style การเขียนภาษาอังกฤษของแต่ละชาติ จริงอยู่ เขาก็เขียนตามมาตรฐานสากล แต่มันก็คงมีศัพท์สำนวนอะไรอยู่บ้างให้เราอ่านและเห็นความแตกต่างที่แต่ละชาติมีไม่เหมือนกัน
เชิญคลิกอ่านข้างล่างนี้ได้เลยครับ
[ที่ส่วนบนของหน้า ใต้เส้นสีแดง ท่านสามารถเลือกคลิก Standard Version / Text Version / Image Version ได้ตามต้องการ]
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ จีน
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ญี่ปุ่น
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศมาเลเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สิงคโปร์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อินเดีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ไต้หวัน
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ฟิลิปปินส์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อินโดนีเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ เวียดนาม
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ อังกฤษ
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สหรัฐอเมริกา
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ เยอรมนี
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ฝรั่งเศส
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ รัสเซีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ แอฟริกาใต้
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ แคนาดา
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ นิวซีแลนด์
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ออสเตรเลีย
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศกัมพูชา
The Cambodia Daily
The Phnom Penh Post
อ่านข่าวเมืองไทยที่ตีพิมพ์ใน นสพ.ประเทศ ลาว
Lao News Agency
[สำหรับกัมพูชาและลาว ข่าวอาจจะเก่าหน่อยครับ]
ส่วนข้างล่างนี้เป็นข่าวเมืองไทยที่สำนักข่าวต่างประเทศตีพิมพ์
ข่าว BBC
ข่าว CNN
ข่าว Reuters
ข่าว Xinhua
ข่าว Google News
ข่าว Yahoo News
หวังว่าทุกท่านจะได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินนะครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[195] ดาวน์โหลดไฟล์ mp3 'Words & Their Stories'
สวัสดีครับ
ก่อนจะเข้าเรื่องผมขอคุยอะไรนิดหน่อยก่อนนะครับ
ผมเริ่มทำ Blog นี้มาตั้งแต่เดือนธันวามคม ปี 2549 สาหตุที่ทำก็เพราะผมเห็นว่าการรู้ภาษาอังกฤษเป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน หรือเขียน ภาษาอังกฤษช่วยเราในการทำงานหาเลี้ยงชีพ ช่วยในการแสวงหาความรู้ ช่วยให้ได้รับความเพลิดเพลิน ช่วยในการผูกมิตร ช่วยให้รู้จักโลกกว้างไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวจริง ๆ หรือผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ และช่วยอะไรต่ออะไรอีกมากมาย
แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ก็คือ ในการศึกษาภาษาอังกฤษคนเรา ‘ไม่เท่ากัน’ หรือ ‘ไม่เหมือนกัน’ เช่น ชอบหรือเกลียดภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, แข็งแรงหรืออ่อนแอเรื่องภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, มีโอกาสในการใช้งานภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, มีเงินหรือเวลาไม่เท่ากันที่จะใช้ศึกษาภาษาอังกฤษ ฯลฯ แต่แม้ว่าอะไรต่ออะไรจะไม่เท่ากัน ถ้าแต่ละคนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านออก-เขียนได้ หรือฟังออก-พูดได้ ภาษาอังกฤษก็จะช่วยเติมสิ่งดี ๆ ให้แก่ชีวิต ไม่มากก็น้อย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำ Blog นี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ท่านที่ต้องการศึกษาได้มีอีกทางเลือกหนึ่งในการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
ข้อเขียนหรือบทเรียนใน Blog นี้แทบทั้งหมดผมอามาจากที่อื่น ผมตั้งใจให้มันมากทั้งปริมาณ – คุณภาพ – และความหลากหลาย เพราะทราบว่าความต้องการของผู้เรียนไม่เหมือนกัน เมื่อท่านเข้ามาใน Blog นี้ผมจึงอยากให้ท่านมีอะไรติดมือกลับไปอย่างน้อย 1 ชิ้นก่อนออกจาก Blog นี้ และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าของเว็บที่เป็นแหล่งข้อมูลทุกท่านทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมถูกถามบ่อยแค่ก็ตอบไม่ค่อยได้ คือ ‘ขอให้แนะนำเว็บสำหรับผู้ศึกษาชนิดเริ่มต้น หรือต้องการฟิตภาษาอังกฤษใหม่ เพราะทิ้งมานาน…’ คำถามนี้ดูเหมือนตอบง่ายแต่จริง ๆ แล้วตอบยากมากครับ หรือพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือผมตอบแทนใครไม่ได้เลย หมายถึงว่า พอตอบแล้วท่านเอาคำตอบของผมไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ เพราะอะไร….
… ก็พราะว่า
-คำว่า ‘พื้นฐาน’ ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน
-แต่ละคนมีวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-วัตถุประสงค์ในการเรียนภาษาอังกฤษของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-แต่ละคนมีเงื่อนไขส่วนตัวหรือความพร้อมในการศึกษาอังกฤษ ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-ฯลฯ
ผมอาจจะตอบท่านได้ แต่คำตอบที่เอาไปใช้และได้ผลจริง ๆ ท่านต้องหาด้วยตัวเอง อาจจะต้องผ่านช่วงลองผิดลองถูกสักระยะหนึ่ง พอจับทางของตัวเองได้ก็เดินตามทางนั้นอย่างขยันขันแข็ง ก็จะได้รับผลเร็วและไม่เบื่อ
ผมเคยได้ยินน้อง ๆ หลายคนบ่นว่า อาจารย์คนนั้นคนนี้สอนภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง น่าเบื่อ แต่ผมอยากจะบอกว่า การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านเน็ตคือการเรียนแบบผู้ใหญ่ ผู้เรียนจะต้องรู้จักตัวเอง หาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง และเมื่อพบแล้วก็รักษาวินัยที่ให้ไว้กับตัวเอง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีทางลัด
ผมได้ยินหลายคนกล่าวหาระบบการศึกษาของไทยว่าไม่ได้เรื่อง คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิบปีก็ยังพูดเขียนไม่ได้ ผมคิดว่าบางทีเราอาจจะกล่าวหารุนแรงเกินไป สิ่งที่ครูสอนนั้น ‘ไม่ผิด’ แต่อาจจะ ‘ไม่พอ’ ฉะนั้น ผู้เรียนต้องเติมให้เต็มด้วยตัวเอง ทั้งขณะที่ยังเป็นนักศึกษาและเมื่อจบการศึกษาแล้ว และจริง ๆ แล้วก็ไม่มีวิชาใดหรอกครับที่ perfect จากห้องเรียน นักเรียนคนใดที่เอาแต่รอครูมาเติมให้เต็ม ก็คงเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต
การศึกษาภาษาอังกฤษของคนไทยเราอาจจะเสียเปรียบคนบางชาติในเอเชีย ผมเคยคุยกับเพื่อนชาวเวียดนามและอินโดนีเซีย สองชาตินี้ใช้อักษรโรมันที่เพิ่มเติมสัญลักษณ์อะไรนิดหน่อยในการเขียนภาษาของเขา ฉะนั้นแม้ในชีวิตประจำวันของเขาจะไม่ได้ฟัง-พูด-อ่านภาษาอังกฤษเลย แต่การที่เขาใช้อักษรโรมันในการเขียนภาษาของเขา อย่างน้อยก็ทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงกับภาษาอังกฤษได้ง่ายกว่าคนไทยเรา ข้อสรุปของผมก็คือ น่าภูมิใจที่เรามีภาษาของตัวเองที่ใช้ทั้งในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แต่เราก็ต้องพยายามศึกษาภาษาสากลของชาวโลกเพราะโลกแคบลงทุกที โอกาสที่เราจะเดินชนชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษมีมากขึ้นทุกทีเช่นกัน
* * * *
เว็บที่ผมจะแนะนำวันนี้ เป็นคอลัมน์ Words and Their Stories จากเว็บ VOA หรือ Voice of America ผมเคยแนะนำเว็บนี้ไว้แล้วที่ลิงค์ข้างล่างนี้
[55] ศึกษาอังกฤษจาก Voice of America
[41] จำศัพท์วิ่ง 1,500 คำ จากหน้าคอมฯ
เนื่องจากเป็นเว็บที่มีประโยชน์มากจริง ๆ ในการศึกษาภาษาอังกฤศด้วยตัวเอง ทั้งในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน
สำหรับ Words andTheir Stories เป็นไฟล์ mp3 รายการพูดภาษาอังกฤษทุกวันอาทิตย์ที่เว็บไซต์ของเขา เขาเอาศัพท์สำนวนที่ใช้ใน American English มาพูดอธิบายและมี script ให้อ่านด้วย ที่น่าสนใจคือเขาพูดช้าและชัด และมีวิธีการอธิบายที่เป็นธรรมชาติมาก
ที่ Words andTheir Stories ของเว็บ VOA ท่านสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกทักษะ ดังนี้
1. ฝึกอ่าน เพราะมี text ให้ท่านอ่านอยู่แล้ว ท่านสามารถศึกษาศัพท์ – สำนวน – โครงสร้างประโยค – ลักษณะการอธิบาย นอกเหนือจากการอ่านให้รู้เรื่อง ท่านจะอ่านก่อนฟัง ฟังก่อนอ่าน หรืออ่านพร้อมฟัง ก็ทำได้ตามสะดวก
2. ฝึกเขียน ผมอยากเสนออย่างนี้ครับ ที่ text ที่เขาให้ไว้นั้น ที่เป็นศัพท์และสำนวนจะพิมพ์ตัวหนา หลังจากที่ท่านอ่านหรือฟังจนพอใจแล้ว ท่านลองเขียนความหมายของศัพท์หรือสำนวนที่เป็นตัวหนานั้นด้วยตัวเอง (จะเขียนด้วยสำนวนภาษาของตัวเองหรือจำเขามาเขียนก็ได้ แต่ห้ามดูต้นฉบับเวลาเขียน) ถ้ายังเขียนไม่ได้ก็กลับไปอ่านหรือฟังอีกครั้ง
3. ฝึกฟัง จะฟังกี่เที่ยวก็ทำได้ตามสะดวก แต่ละตอนยาวประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
4. ฝึกพูด ก็คล้าย ๆ ฝึกเขียน คือหลังจากฟังจนพอใจแล้ว ท่านลองพูดอธิบายความหมายของศัพท์หรือสำนวนที่เป็นตัวหนานั้นออกมา (จะพูดด้วยสำนวนภาษาของตัวเองหรือพูดตามที่ฟังก็ได้ ) ถ้ายังพูดไม่ได้ก็กลับไปอ่านหรือฟังอีกครั้ง
ณ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2551) ที่คอลัมน์ Words and Their Stories นี้มีเรื่องทั้งหมด 66 หัวข้อ ซึ่งผมได้ดาวน์โหลดทั้งไฟล์ข้อความและไฟล์เสียง mp3 เก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านใดต้องการดาวน์โหลดต่อเพื่อเอาไปฝึกฟัง – พูด – อ่าน – เขียน โดยไม่ต้องต่อเน็ตอีก เชิญดาวน์โหลดได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
1 ลิงค์ประกอบด้วย 3 เรื่อง, 22 ลิงค์ = 66 เรื่อง
words_in_the_news
VOA_1
VOA_2
VOA_3
VOA_4
VOA_5
VOA_6
VOA_7
VOA_8
VOA_9
VOA_10
VOA_11
VOA_12
VOA_13
VOA_14
VOA_15
VOA_16
VOA_17
VOA_18
VOA_19
VOA_20
VOA_21
VOA_22
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ก่อนจะเข้าเรื่องผมขอคุยอะไรนิดหน่อยก่อนนะครับ
ผมเริ่มทำ Blog นี้มาตั้งแต่เดือนธันวามคม ปี 2549 สาหตุที่ทำก็เพราะผมเห็นว่าการรู้ภาษาอังกฤษเป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน หรือเขียน ภาษาอังกฤษช่วยเราในการทำงานหาเลี้ยงชีพ ช่วยในการแสวงหาความรู้ ช่วยให้ได้รับความเพลิดเพลิน ช่วยในการผูกมิตร ช่วยให้รู้จักโลกกว้างไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวจริง ๆ หรือผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ และช่วยอะไรต่ออะไรอีกมากมาย
แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ก็คือ ในการศึกษาภาษาอังกฤษคนเรา ‘ไม่เท่ากัน’ หรือ ‘ไม่เหมือนกัน’ เช่น ชอบหรือเกลียดภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, แข็งแรงหรืออ่อนแอเรื่องภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, มีโอกาสในการใช้งานภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน, มีเงินหรือเวลาไม่เท่ากันที่จะใช้ศึกษาภาษาอังกฤษ ฯลฯ แต่แม้ว่าอะไรต่ออะไรจะไม่เท่ากัน ถ้าแต่ละคนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านออก-เขียนได้ หรือฟังออก-พูดได้ ภาษาอังกฤษก็จะช่วยเติมสิ่งดี ๆ ให้แก่ชีวิต ไม่มากก็น้อย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำ Blog นี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ท่านที่ต้องการศึกษาได้มีอีกทางเลือกหนึ่งในการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
ข้อเขียนหรือบทเรียนใน Blog นี้แทบทั้งหมดผมอามาจากที่อื่น ผมตั้งใจให้มันมากทั้งปริมาณ – คุณภาพ – และความหลากหลาย เพราะทราบว่าความต้องการของผู้เรียนไม่เหมือนกัน เมื่อท่านเข้ามาใน Blog นี้ผมจึงอยากให้ท่านมีอะไรติดมือกลับไปอย่างน้อย 1 ชิ้นก่อนออกจาก Blog นี้ และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าของเว็บที่เป็นแหล่งข้อมูลทุกท่านทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมถูกถามบ่อยแค่ก็ตอบไม่ค่อยได้ คือ ‘ขอให้แนะนำเว็บสำหรับผู้ศึกษาชนิดเริ่มต้น หรือต้องการฟิตภาษาอังกฤษใหม่ เพราะทิ้งมานาน…’ คำถามนี้ดูเหมือนตอบง่ายแต่จริง ๆ แล้วตอบยากมากครับ หรือพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือผมตอบแทนใครไม่ได้เลย หมายถึงว่า พอตอบแล้วท่านเอาคำตอบของผมไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ เพราะอะไร….
… ก็พราะว่า
-คำว่า ‘พื้นฐาน’ ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน
-แต่ละคนมีวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-วัตถุประสงค์ในการเรียนภาษาอังกฤษของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-แต่ละคนมีเงื่อนไขส่วนตัวหรือความพร้อมในการศึกษาอังกฤษ ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
-ฯลฯ
ผมอาจจะตอบท่านได้ แต่คำตอบที่เอาไปใช้และได้ผลจริง ๆ ท่านต้องหาด้วยตัวเอง อาจจะต้องผ่านช่วงลองผิดลองถูกสักระยะหนึ่ง พอจับทางของตัวเองได้ก็เดินตามทางนั้นอย่างขยันขันแข็ง ก็จะได้รับผลเร็วและไม่เบื่อ
ผมเคยได้ยินน้อง ๆ หลายคนบ่นว่า อาจารย์คนนั้นคนนี้สอนภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง น่าเบื่อ แต่ผมอยากจะบอกว่า การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านเน็ตคือการเรียนแบบผู้ใหญ่ ผู้เรียนจะต้องรู้จักตัวเอง หาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง และเมื่อพบแล้วก็รักษาวินัยที่ให้ไว้กับตัวเอง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีทางลัด
ผมได้ยินหลายคนกล่าวหาระบบการศึกษาของไทยว่าไม่ได้เรื่อง คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิบปีก็ยังพูดเขียนไม่ได้ ผมคิดว่าบางทีเราอาจจะกล่าวหารุนแรงเกินไป สิ่งที่ครูสอนนั้น ‘ไม่ผิด’ แต่อาจจะ ‘ไม่พอ’ ฉะนั้น ผู้เรียนต้องเติมให้เต็มด้วยตัวเอง ทั้งขณะที่ยังเป็นนักศึกษาและเมื่อจบการศึกษาแล้ว และจริง ๆ แล้วก็ไม่มีวิชาใดหรอกครับที่ perfect จากห้องเรียน นักเรียนคนใดที่เอาแต่รอครูมาเติมให้เต็ม ก็คงเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต
การศึกษาภาษาอังกฤษของคนไทยเราอาจจะเสียเปรียบคนบางชาติในเอเชีย ผมเคยคุยกับเพื่อนชาวเวียดนามและอินโดนีเซีย สองชาตินี้ใช้อักษรโรมันที่เพิ่มเติมสัญลักษณ์อะไรนิดหน่อยในการเขียนภาษาของเขา ฉะนั้นแม้ในชีวิตประจำวันของเขาจะไม่ได้ฟัง-พูด-อ่านภาษาอังกฤษเลย แต่การที่เขาใช้อักษรโรมันในการเขียนภาษาของเขา อย่างน้อยก็ทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงกับภาษาอังกฤษได้ง่ายกว่าคนไทยเรา ข้อสรุปของผมก็คือ น่าภูมิใจที่เรามีภาษาของตัวเองที่ใช้ทั้งในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แต่เราก็ต้องพยายามศึกษาภาษาสากลของชาวโลกเพราะโลกแคบลงทุกที โอกาสที่เราจะเดินชนชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษมีมากขึ้นทุกทีเช่นกัน
* * * *
เว็บที่ผมจะแนะนำวันนี้ เป็นคอลัมน์ Words and Their Stories จากเว็บ VOA หรือ Voice of America ผมเคยแนะนำเว็บนี้ไว้แล้วที่ลิงค์ข้างล่างนี้
[55] ศึกษาอังกฤษจาก Voice of America
[41] จำศัพท์วิ่ง 1,500 คำ จากหน้าคอมฯ
เนื่องจากเป็นเว็บที่มีประโยชน์มากจริง ๆ ในการศึกษาภาษาอังกฤศด้วยตัวเอง ทั้งในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน
สำหรับ Words andTheir Stories เป็นไฟล์ mp3 รายการพูดภาษาอังกฤษทุกวันอาทิตย์ที่เว็บไซต์ของเขา เขาเอาศัพท์สำนวนที่ใช้ใน American English มาพูดอธิบายและมี script ให้อ่านด้วย ที่น่าสนใจคือเขาพูดช้าและชัด และมีวิธีการอธิบายที่เป็นธรรมชาติมาก
ที่ Words andTheir Stories ของเว็บ VOA ท่านสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกทักษะ ดังนี้
1. ฝึกอ่าน เพราะมี text ให้ท่านอ่านอยู่แล้ว ท่านสามารถศึกษาศัพท์ – สำนวน – โครงสร้างประโยค – ลักษณะการอธิบาย นอกเหนือจากการอ่านให้รู้เรื่อง ท่านจะอ่านก่อนฟัง ฟังก่อนอ่าน หรืออ่านพร้อมฟัง ก็ทำได้ตามสะดวก
2. ฝึกเขียน ผมอยากเสนออย่างนี้ครับ ที่ text ที่เขาให้ไว้นั้น ที่เป็นศัพท์และสำนวนจะพิมพ์ตัวหนา หลังจากที่ท่านอ่านหรือฟังจนพอใจแล้ว ท่านลองเขียนความหมายของศัพท์หรือสำนวนที่เป็นตัวหนานั้นด้วยตัวเอง (จะเขียนด้วยสำนวนภาษาของตัวเองหรือจำเขามาเขียนก็ได้ แต่ห้ามดูต้นฉบับเวลาเขียน) ถ้ายังเขียนไม่ได้ก็กลับไปอ่านหรือฟังอีกครั้ง
3. ฝึกฟัง จะฟังกี่เที่ยวก็ทำได้ตามสะดวก แต่ละตอนยาวประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
4. ฝึกพูด ก็คล้าย ๆ ฝึกเขียน คือหลังจากฟังจนพอใจแล้ว ท่านลองพูดอธิบายความหมายของศัพท์หรือสำนวนที่เป็นตัวหนานั้นออกมา (จะพูดด้วยสำนวนภาษาของตัวเองหรือพูดตามที่ฟังก็ได้ ) ถ้ายังพูดไม่ได้ก็กลับไปอ่านหรือฟังอีกครั้ง
ณ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2551) ที่คอลัมน์ Words and Their Stories นี้มีเรื่องทั้งหมด 66 หัวข้อ ซึ่งผมได้ดาวน์โหลดทั้งไฟล์ข้อความและไฟล์เสียง mp3 เก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านใดต้องการดาวน์โหลดต่อเพื่อเอาไปฝึกฟัง – พูด – อ่าน – เขียน โดยไม่ต้องต่อเน็ตอีก เชิญดาวน์โหลดได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
1 ลิงค์ประกอบด้วย 3 เรื่อง, 22 ลิงค์ = 66 เรื่อง
words_in_the_news
VOA_1
VOA_2
VOA_3
VOA_4
VOA_5
VOA_6
VOA_7
VOA_8
VOA_9
VOA_10
VOA_11
VOA_12
VOA_13
VOA_14
VOA_15
VOA_16
VOA_17
VOA_18
VOA_19
VOA_20
VOA_21
VOA_22
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[194] ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเมียนมาร์ (พม่า)
สวัสดีครับ
เรื่องน่าเศร้าจากภัยธรรมชาติกำลังเกิดขึ้นกับประเทศเมืองพุทธเพื่อนบ้านเรา ถือโอกาสนี้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมียนมาร์หรือพม่ากันหน่อยไหมครับ
ภาษาอังกฤษ
จาก http://www.answers.com/ เชิญ คลิกที่นี่
จาก http://en.wikipedia.org/ เชิญ คลิกที่นี่
จาก http://www.thefreelibrary.com/ เชิญ คลิกที่นี่
ข่าวภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ Myanmar
จาก Google News
จาก Yahoo News
ภาษาไทย
จาก http://th.wikipedia.org/ เชิญ คลิกที่นี่
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
เรื่องน่าเศร้าจากภัยธรรมชาติกำลังเกิดขึ้นกับประเทศเมืองพุทธเพื่อนบ้านเรา ถือโอกาสนี้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมียนมาร์หรือพม่ากันหน่อยไหมครับ
ภาษาอังกฤษ
จาก http://www.answers.com/ เชิญ คลิกที่นี่
จาก http://en.wikipedia.org/ เชิญ คลิกที่นี่
จาก http://www.thefreelibrary.com/ เชิญ คลิกที่นี่
ข่าวภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ Myanmar
จาก Google News
จาก Yahoo News
ภาษาไทย
จาก http://th.wikipedia.org/ เชิญ คลิกที่นี่
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[193] กวดวิชา ภ.อังกฤษ ม.ปลาย และ ‘ภาษาในเพลง’
สวัสดีครับ
ที่เว็บไซต์ สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ http://www.etvthai.tv/
มีเอกสาร “ETV กวดวิชาปิดภาคเรียนภาษาอังกฤษ ม.ปลาย” 24 ตอน ให้
คลิกดาวน์โหลด
สำหรับผมเอง ชอบ “ภาษาในเพลง” (พร้อมคำแปล) ข้างล่างนี้ เพราะว่าเนื้อหามีความหมายดี และเพลงก็เพราะ เชิญคลิกอ่านและชม music video ข้างล่างนี้ครับ
Colors of the Wind
http://www.youtube.com/watch?v=6I9msnGWFBY
Stay the Same
http://www.youtube.com/watch?v=7QCZDrZnKdI
Season in the Sun
http://www.youtube.com/watch?v=3FVCPbaiPU4
One Voice
http://www.youtube.com/watch?v=mJcCjRTE7Ho&feature=related
I Have A Dream
http://www.youtube.com/watch?v=DOoOEU3ETJo
She
http://www.youtube.com/watch?v=Jf8QZp458aE
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ที่เว็บไซต์ สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ http://www.etvthai.tv/
มีเอกสาร “ETV กวดวิชาปิดภาคเรียนภาษาอังกฤษ ม.ปลาย” 24 ตอน ให้
คลิกดาวน์โหลด
สำหรับผมเอง ชอบ “ภาษาในเพลง” (พร้อมคำแปล) ข้างล่างนี้ เพราะว่าเนื้อหามีความหมายดี และเพลงก็เพราะ เชิญคลิกอ่านและชม music video ข้างล่างนี้ครับ
Colors of the Wind
http://www.youtube.com/watch?v=6I9msnGWFBY
Stay the Same
http://www.youtube.com/watch?v=7QCZDrZnKdI
Season in the Sun
http://www.youtube.com/watch?v=3FVCPbaiPU4
One Voice
http://www.youtube.com/watch?v=mJcCjRTE7Ho&feature=related
I Have A Dream
http://www.youtube.com/watch?v=DOoOEU3ETJo
She
http://www.youtube.com/watch?v=Jf8QZp458aE
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[192] รายการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ-เชลล์
สวัสดีครับ
ที่เว็บไซต์ รายการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ-เชลล์ มีข้อมูลให้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ในรูปคำถาม - คำตอบ ด้านไวยากรณ์ - ศัพท์ - สำนวน - ความรู้ - ความคิด มีเวลาลองเข้าไปดูหน่อยก็ดีครับ
รวมคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับไวยากรณ์
รวมคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับคำศัพท์และสำนวน
ดาวน์โหลดคำถาม-คำตอบ ภาษาอังกฤษที่เคยใช้ในการแข่งขัน
คมความคิดกับ Shell Quiz
ส่งคำถามถึงอาจารย์
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ที่เว็บไซต์ รายการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ-เชลล์ มีข้อมูลให้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ในรูปคำถาม - คำตอบ ด้านไวยากรณ์ - ศัพท์ - สำนวน - ความรู้ - ความคิด มีเวลาลองเข้าไปดูหน่อยก็ดีครับ
รวมคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับไวยากรณ์
รวมคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับคำศัพท์และสำนวน
ดาวน์โหลดคำถาม-คำตอบ ภาษาอังกฤษที่เคยใช้ในการแข่งขัน
คมความคิดกับ Shell Quiz
ส่งคำถามถึงอาจารย์
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[191] กลอนภาษาอังกฤษ ต่างกับกลอนภาษาไทยยังไง
สวัสดีครับ
ผมบังเอิญไปพบบทความเรื่อง "กลอนภาษาอังกฤษ ต่างกับกลอนภาษาไทยยังไง" คิดว่าบางท่านอาจจะสนใจ เลยเอามาฝาก
http://learners.in.th/file/notting_hill/love.doc
และมีอีกหลายบทให้อ่านที่ลิงค์นี้
[166] บทกลอน + ธรรมะ + ภาษาอังกฤษ
Poetry for Kids
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมบังเอิญไปพบบทความเรื่อง "กลอนภาษาอังกฤษ ต่างกับกลอนภาษาไทยยังไง" คิดว่าบางท่านอาจจะสนใจ เลยเอามาฝาก
http://learners.in.th/file/notting_hill/love.doc
และมีอีกหลายบทให้อ่านที่ลิงค์นี้
[166] บทกลอน + ธรรมะ + ภาษาอังกฤษ
Poetry for Kids
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[190]หัวข้อการฝึกพูด[ต้อง‘ได้พูด’ ถึงจะ ‘พูดได้’]
สวัสดีครับ
ผมเข้าใจว่าทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษต้องการพูดได้ หลายคนเขียนมาถามว่าทำยังไงถึงจะ ‘พูดได้’ คำตอบของผมสั้นมาก คือ ต้อง ‘ได้พูด’ ถึงจะ ‘พูดได้’
คำถามต่อเนื่องคือ ไม่มีฝรั่งจะให้พูดด้วย จึงไม่มีโอกาส ‘ได้พูด’ แล้วจะทำยังไง? คำตอบของผมก็สั้นอีกเช่นกัน คือ ต้องหาคนที่จะพูดด้วยให้ได้ ถ้าหายากจริง ๆ ก็หากลุ่มเพื่อนสนิทที่รู้ใจ 2 – 3 ฝึกพูดกันเอง แต่ถ้าถึงขั้นนี้ก็ยังหาไม่ได้ ก็ฝึกพูดคนเดียวนั่นแหละครับหมดเรื่องหมดราวไปเลย วันละสัก 5 – 10 นาทีก็ได้ รับรองว่าไม่เท่าไรก็ ‘พูดได้’ เพราะว่าเรา ‘ได้พูด’
และจะพูดเรื่องอะไรล่ะ?
สองลิงค์ข้างล่างนี้ คือคำถามหรือหัวข้อให้ท่านเลือกฝึกพูด เลือกเอาตามสบายเลยครับ
http://iteslj.org/questions/
http://www.eslpartyland.com/teachers/nov/conv.htm
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การฝึกพูดควรจะทำไปพร้อม ๆ กับการฝึกฟังและฝึกอ่าน ซึ่งท่านสามารถฝึกได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ มีมากมายให้ท่านเลือก
การฟังทำให้เราได้ ‘สำเนียง’ - การอ่านทำให้เราได้ ‘สำนวน’ ถ้าเราทั้งฟังและอ่าน เราก็จะได้สำเนียงและสำนวนมาฝึกพูด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพูดกับเพื่อนหรือฝึกพูดคนเดียวก็ตาม
คลิก: ฝึกฟัง
คลิก: ฝึกอ่าน
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น สุภาษิตนี้ยังเป็นจริงอยู่เสมอครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเข้าใจว่าทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษต้องการพูดได้ หลายคนเขียนมาถามว่าทำยังไงถึงจะ ‘พูดได้’ คำตอบของผมสั้นมาก คือ ต้อง ‘ได้พูด’ ถึงจะ ‘พูดได้’
คำถามต่อเนื่องคือ ไม่มีฝรั่งจะให้พูดด้วย จึงไม่มีโอกาส ‘ได้พูด’ แล้วจะทำยังไง? คำตอบของผมก็สั้นอีกเช่นกัน คือ ต้องหาคนที่จะพูดด้วยให้ได้ ถ้าหายากจริง ๆ ก็หากลุ่มเพื่อนสนิทที่รู้ใจ 2 – 3 ฝึกพูดกันเอง แต่ถ้าถึงขั้นนี้ก็ยังหาไม่ได้ ก็ฝึกพูดคนเดียวนั่นแหละครับหมดเรื่องหมดราวไปเลย วันละสัก 5 – 10 นาทีก็ได้ รับรองว่าไม่เท่าไรก็ ‘พูดได้’ เพราะว่าเรา ‘ได้พูด’
และจะพูดเรื่องอะไรล่ะ?
สองลิงค์ข้างล่างนี้ คือคำถามหรือหัวข้อให้ท่านเลือกฝึกพูด เลือกเอาตามสบายเลยครับ
http://iteslj.org/questions/
http://www.eslpartyland.com/teachers/nov/conv.htm
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การฝึกพูดควรจะทำไปพร้อม ๆ กับการฝึกฟังและฝึกอ่าน ซึ่งท่านสามารถฝึกได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ มีมากมายให้ท่านเลือก
การฟังทำให้เราได้ ‘สำเนียง’ - การอ่านทำให้เราได้ ‘สำนวน’ ถ้าเราทั้งฟังและอ่าน เราก็จะได้สำเนียงและสำนวนมาฝึกพูด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพูดกับเพื่อนหรือฝึกพูดคนเดียวก็ตาม
คลิก: ฝึกฟัง
คลิก: ฝึกอ่าน
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น สุภาษิตนี้ยังเป็นจริงอยู่เสมอครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[189] พจนานุกรมภาพศัพท์ ไทย-อังกฤษ
สวัสดีครับ
ท่านใดต้องการจำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพ ซึ่งทำให้จำง่าย ลืมยาก และไม่เบื่อ เชิญไปที่ 4 ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
พจนานุกรมภาพ ไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมภาพ ไทย-อังกฤษ จำแนกตามหมวดหมู่
รวมลิงค์ใน Blog นี้ - การศึกษาภาษาอังกฤษจากภาพ
http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=8237
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ท่านใดต้องการจำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพ ซึ่งทำให้จำง่าย ลืมยาก และไม่เบื่อ เชิญไปที่ 4 ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
พจนานุกรมภาพ ไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมภาพ ไทย-อังกฤษ จำแนกตามหมวดหมู่
รวมลิงค์ใน Blog นี้ - การศึกษาภาษาอังกฤษจากภาพ
http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=8237
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[188] ศึกษา ‘Words in the News’ เว็บ BBC
สวัสดีครับ
ผมขอแบ่งหนังสือภาษาอังกฤษที่ช่วยในการจดจำคำศัพท์ ที่มีวางขายในตลาดหนังสือเมืองไทย ออกเป็นสัก 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 – รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลภาษาไทย นักศึกษาซื้อเอาไปท่องอย่างเดียว
ประเภทที่ 2 – เหมือนประเภทที่ 1 แต่เพิ่มประโยคตัวอย่างเป็นภาษาอังกฤษ หรือบางทีแปลประโยคตัวอย่างเป็นภาษาไทยให้ดูอีกด้วย
ประเภทที่ 3 – มีเนื้อเรื่องสั้น ๆ ให้อ่าน แล้วก็ยกศัพท์จากเนื้อเรื่องมาอธิบายขยายความ
ทั้ง 3 ประเภทนี้ ประเภทที่ 3 ดีที่สุด เพราะผู้ศึกษาจะได้ศึกษารอบด้าน คือ ได้ฝึกอ่านทำความเข้าใจ ตีความเนื้อเรื่อง และตีความหรือเดาศัพท์ที่ไม่รู้หรือไม่แน่ใจ หลังจากนี้จึงค่อยดูเฉลยหรืออ่านคำอธิบาย และจริง ๆ แล้วการจะจำศัพท์ก็ควรจะจำไปพร้อมกับการเห็นศัพท์ปรากฏอยู่ในสถานที่ของมันคือหน้าหนังสือที่เราอ่าน ไม่ใช่แยกศัพท์ออกมาท่องต่างหาก ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติ
ที่ Words in the News ของสำนักข่าว BBC มีเรื่องให้เราเรียนรู้และจำศัพท์อย่างเป็นธรรมชาติที่น่าสนใจมาก คือ เขามี News Story สั้น ๆ ที่น่าสนใจให้เราอ่าน (ค.ศ. 2000 – 2008) มีไฟล์เสียงให้เราคลิกฟัง ยกเอาคำศัพท์มาอธิบาย บางเรื่องมีแบบฝึกหัดในลองทำ หรือมีเอกสารสำหรับให้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษดาวน์โหลดเอาไปสอนลูกศิษย์
ผมรู้สึกว่าคอลัมน์ Words in the News ของสำนักข่าว BBC นี้เยี่ยมมากเลยครับ ท่านใดต้องการเพิ่ม Reading Skill โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ศัพท์ข่าว’, Listening Skill, Vocabulary Skill เอาคอลัมน์นี้เป็นอาจารย์ได้เลยครับ
สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการต่ออินเตอร์เน็ตบ่อย ๆ เชิญดาวน์โหลดไฟล์ Words in the News ของสำนักข่าว BBC ที่ผม save ไว้แล้วเอาไปศึกษาได้เลย แต่มีเฉพาะไฟล์ข้อความและไฟล์ภาพ ของปี ค.ศ. 2004 ถึงวันที่ 7 May 2008 (ไม่มีไฟล์เสียง) แต่ก็คิดว่ามากเพียงพอต่อการฝึกฝน reading skill และ vocabulary skill (ถ้า print ออกมา ก็คงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ทีเดียว)
คลิก: http://www.mediafire.com/?gkuyh2xtyij
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมขอแบ่งหนังสือภาษาอังกฤษที่ช่วยในการจดจำคำศัพท์ ที่มีวางขายในตลาดหนังสือเมืองไทย ออกเป็นสัก 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 – รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลภาษาไทย นักศึกษาซื้อเอาไปท่องอย่างเดียว
ประเภทที่ 2 – เหมือนประเภทที่ 1 แต่เพิ่มประโยคตัวอย่างเป็นภาษาอังกฤษ หรือบางทีแปลประโยคตัวอย่างเป็นภาษาไทยให้ดูอีกด้วย
ประเภทที่ 3 – มีเนื้อเรื่องสั้น ๆ ให้อ่าน แล้วก็ยกศัพท์จากเนื้อเรื่องมาอธิบายขยายความ
ทั้ง 3 ประเภทนี้ ประเภทที่ 3 ดีที่สุด เพราะผู้ศึกษาจะได้ศึกษารอบด้าน คือ ได้ฝึกอ่านทำความเข้าใจ ตีความเนื้อเรื่อง และตีความหรือเดาศัพท์ที่ไม่รู้หรือไม่แน่ใจ หลังจากนี้จึงค่อยดูเฉลยหรืออ่านคำอธิบาย และจริง ๆ แล้วการจะจำศัพท์ก็ควรจะจำไปพร้อมกับการเห็นศัพท์ปรากฏอยู่ในสถานที่ของมันคือหน้าหนังสือที่เราอ่าน ไม่ใช่แยกศัพท์ออกมาท่องต่างหาก ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติ
ที่ Words in the News ของสำนักข่าว BBC มีเรื่องให้เราเรียนรู้และจำศัพท์อย่างเป็นธรรมชาติที่น่าสนใจมาก คือ เขามี News Story สั้น ๆ ที่น่าสนใจให้เราอ่าน (ค.ศ. 2000 – 2008) มีไฟล์เสียงให้เราคลิกฟัง ยกเอาคำศัพท์มาอธิบาย บางเรื่องมีแบบฝึกหัดในลองทำ หรือมีเอกสารสำหรับให้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษดาวน์โหลดเอาไปสอนลูกศิษย์
ผมรู้สึกว่าคอลัมน์ Words in the News ของสำนักข่าว BBC นี้เยี่ยมมากเลยครับ ท่านใดต้องการเพิ่ม Reading Skill โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ศัพท์ข่าว’, Listening Skill, Vocabulary Skill เอาคอลัมน์นี้เป็นอาจารย์ได้เลยครับ
สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการต่ออินเตอร์เน็ตบ่อย ๆ เชิญดาวน์โหลดไฟล์ Words in the News ของสำนักข่าว BBC ที่ผม save ไว้แล้วเอาไปศึกษาได้เลย แต่มีเฉพาะไฟล์ข้อความและไฟล์ภาพ ของปี ค.ศ. 2004 ถึงวันที่ 7 May 2008 (ไม่มีไฟล์เสียง) แต่ก็คิดว่ามากเพียงพอต่อการฝึกฝน reading skill และ vocabulary skill (ถ้า print ออกมา ก็คงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ทีเดียว)
คลิก: http://www.mediafire.com/?gkuyh2xtyij
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[187] ดูตัววิ่ง ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ บนหน้าจอ
สวัสดีครับ
ตอนพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ เชิญคลิกตัววิ่ง ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ เพื่อจะได้อ่านและจำศัพท์พื้นฐาน เหล่านี้ไปทีละคำ ๆ ศัพท์เหล่านี้ อาจารย์ ดร. อาภรณ์ พฤกษะศรี เรียบเรียงไว้เป็นคำคล้องจองง่ายต่อการท่องจำ
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร. อาภรณ์ พฤกษะศรี เป็นอย่างยิ่งที่กรุณาอนุญาตให้นำผลงานของท่านลงตีพิมพ์เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษา
ดาวน์โหลด
http://www.mediafire.com/?nf6ungjizz2m45x
ถ้าจะอ่าน ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ online หรือดาวน์โหลดเอาไป print เชิญคลิกข้างล่างนี้
[174]ดาวน์โหลดศัพท์คำพ้อง 3,000 คำโดย อ. พฤกษะศรี
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ตอนพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ เชิญคลิกตัววิ่ง ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ เพื่อจะได้อ่านและจำศัพท์พื้นฐาน เหล่านี้ไปทีละคำ ๆ ศัพท์เหล่านี้ อาจารย์ ดร. อาภรณ์ พฤกษะศรี เรียบเรียงไว้เป็นคำคล้องจองง่ายต่อการท่องจำ
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร. อาภรณ์ พฤกษะศรี เป็นอย่างยิ่งที่กรุณาอนุญาตให้นำผลงานของท่านลงตีพิมพ์เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษา
ดาวน์โหลด
http://www.mediafire.com/?nf6ungjizz2m45x
ถ้าจะอ่าน ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ online หรือดาวน์โหลดเอาไป print เชิญคลิกข้างล่างนี้
[174]ดาวน์โหลดศัพท์คำพ้อง 3,000 คำโดย อ. พฤกษะศรี
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[186] คลิกทุกคำศัพท์ที่ท่านต้องการคำแปล !
สวัสดีครับ
ตอนนี้ผมมีอีก 1 เครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้แก่ทุกท่าน คือ เมื่อท่านพบศัพท์ตัวใด ท่านเพียง Double-click ที่คำนั้น ก็จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาทันทีในหน้าต่างใหม่ และสามารถคลิกฟังเสียงอ่านได้อีกด้วย
ของเล่นตัวใหม่นี้ผมใช้บริการจากเว็บ http://www.answers.com/ ซึ่งเป็น search engine และขุมทรัพย์ในการค้นหาความรู้และข้อมูลต่าง ๆ ที่มหาศาลมาก (ค้นเป็นภาษาไทยก็ได้)
ด้วยบริการ pop-up dictionary in new window ที่ผมเพิ่งเจอนี้ ผมจึงได้ทำลิงค์ ชวนอ่านบทความ ซึ่งอยู่ที่คอลัมน์ซ้ายมือของ Blog โดยนำบทความที่น่าสนใจเอามา post (คือ Copy มา Paste) ในลิงค์ ชวนอ่านบทความ นี้ เพื่อให้ท่านที่สนใจจะฝึก Reading Skill สามารถอ่าน และคลิกดูคำศัพท์ที่ไม่ทราบหรือไม่แน่ใจในความหมายได้อย่างสะดวก จะได้ฝึกทั้งการอ่านและการใช้ดิกชันนารี อังกฤษ – อังกฤษ
สำหรับ Webmaster ทุกท่าน ที่สนใจจะนำ pop-up dictionary in new window ไปไว้ที่เว็บหรือ Blog ของท่าน เชิญใช้บริการได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.answers.com/main/answertips.jsp
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ตอนนี้ผมมีอีก 1 เครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้แก่ทุกท่าน คือ เมื่อท่านพบศัพท์ตัวใด ท่านเพียง Double-click ที่คำนั้น ก็จะปรากฏคำแปลเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาทันทีในหน้าต่างใหม่ และสามารถคลิกฟังเสียงอ่านได้อีกด้วย
ของเล่นตัวใหม่นี้ผมใช้บริการจากเว็บ http://www.answers.com/ ซึ่งเป็น search engine และขุมทรัพย์ในการค้นหาความรู้และข้อมูลต่าง ๆ ที่มหาศาลมาก (ค้นเป็นภาษาไทยก็ได้)
ด้วยบริการ pop-up dictionary in new window ที่ผมเพิ่งเจอนี้ ผมจึงได้ทำลิงค์ ชวนอ่านบทความ ซึ่งอยู่ที่คอลัมน์ซ้ายมือของ Blog โดยนำบทความที่น่าสนใจเอามา post (คือ Copy มา Paste) ในลิงค์ ชวนอ่านบทความ นี้ เพื่อให้ท่านที่สนใจจะฝึก Reading Skill สามารถอ่าน และคลิกดูคำศัพท์ที่ไม่ทราบหรือไม่แน่ใจในความหมายได้อย่างสะดวก จะได้ฝึกทั้งการอ่านและการใช้ดิกชันนารี อังกฤษ – อังกฤษ
สำหรับ Webmaster ทุกท่าน ที่สนใจจะนำ pop-up dictionary in new window ไปไว้ที่เว็บหรือ Blog ของท่าน เชิญใช้บริการได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.answers.com/main/answertips.jsp
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[185] ฝึกฟังฝรั่งพูด
สวัสดีครับ
การฝึกฟังภาษาอังกฤษจากเน็ตน่าจะมี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือฟังฝรั่งอ่าน กับฟังฝรั่งพูด
ถ้าฟังเขาอ่าน ก็มักจะเป็นอ่านข่าว สิ่งที่เราจะได้มาก คือ วีธีการ ‘เล่าเรื่อง' แค่ถ้าฟังเขาพูด ซึ่งมักเป็นการสนทนาระหว่างคน 2 คน สิ่งที่เราจะได้มาก คือการ ‘พูดคุย’ และจริง ๆ แล้วผมคิดว่าเราก็คงต้องฝึกฟังทั้ง 2 ประเภทนั่นแหละครับ เพื่อที่เราจะได้สามารถทั้ง‘เล่าเรื่อง และ ‘พูดคุย’
และเว็บเพื่อการฝึก Listening Skill ที่ผู้จัดรายการ ‘อ่าน’ หรือ ‘สนทนา’ ให้เราฟังก็มีทั้งพูดด้วยคว่ามเร็วปกติ (normal speed) และ ความเร็วช้า (slow speed) และสำหรับผู้เริ่มต้น การฝึกฟังบทพูดหรือบทสนทนาที่เป็น slow speed น่าจดี
ผมรวบรวมไว้มากมายให้ท่านเลืกฟังที่นี่ครับ
การฟัง listening
[376] เพลิดเพลินกับการฝึกภาษาผ่านการดูวีดิโอ
วันนี้ผมขอแนะนำเว็บเพื่อการฝึกฟังบทสนทนา
ผมเคยแนะนำไว้เว็บหนึ่งแล้ว คือ eslpod.com ที่ลิงค์นี้
[176]ฝึกฟังช้า ๆ จะได้ทั้ง 'สำเนียง' และ 'สำนวนพูด'
และขอแนะนำวันนี้อีก 2 เว็บคือ
เว็บที่ [1] http://www.china232.com/lessons.php
เป็นบทสนทนาง่าย ๆ เบา ๆ มีฝรั่ง 2 คนเป็นผู้ชายพักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เป็นผู้จัดรายการ จะเริ่มรายการด้วยการอารัมภบทเพื่อชักนำเข้าสู่บมเรียน ตามด้วยการอ่านบทสั้น ๆ และตอนท้ายเป็นการอธิบายศัพท์-สำนวนที่ใช้ในการสนทนา
เว็บที่ [2] betteratenglish.com
เขาบอกว่าเป็น Real English for Real People! มีผู้จัดรายการเป็นหญิง 1 ชาย 1 เว็บนี้ยากกว่า eslpod.com และ china232.com แต่ข้อดีคือมี script ฉบับเต็มให้ดาวน์โหลดอ่านพร้อมกับฟัง
ลองฟังระดับง่ายสุดของเว็บนี้ก่อนแล้วกันครับ หลังจากนี้ค่อยขยับไปฟังระดับที่ยากขึ้น (ที่คอลัมน์ใหญ่ซ้ายมือ คลิกที่ Play Now และ PDF:Download)
page/1 - page/2/ - page/3/ - page/4/ - page/5/ - page/6/ - page/7/ -page/8/
เว็บที่ [3] http://www.podcastsinenglish.com/
มีบทสนทนา บทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นระดับ ง่าย - ยากให้เลือก
ทั้ง 4 เว็บที่กล่าวนี้ ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3เก็บไว้ฟังได้
มีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือสมาธิในการฟัง ท่านเคยฟังอย่างนี้ไหมครับ นั่งอยู่คนเดียวที่บ้านในห้องและเปิดฟังโดยหลับตา ใช้สมาธิ 100 % พยายามจับเสียงที่กำลังเปิดฟัง ถ้าเราเก่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฟังมากปานนี้หรอกครับ แค่สำหรับผู้ฝึกหัด ผมขอรับรองว่าด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน การฟังด้วยสมาธิจะได้ผลมากกว่าและเร็วกว่าการฟังที่ปราศจากสมาธิ หรือมีสมาธิน้อยเกินไป
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
การฝึกฟังภาษาอังกฤษจากเน็ตน่าจะมี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือฟังฝรั่งอ่าน กับฟังฝรั่งพูด
ถ้าฟังเขาอ่าน ก็มักจะเป็นอ่านข่าว สิ่งที่เราจะได้มาก คือ วีธีการ ‘เล่าเรื่อง' แค่ถ้าฟังเขาพูด ซึ่งมักเป็นการสนทนาระหว่างคน 2 คน สิ่งที่เราจะได้มาก คือการ ‘พูดคุย’ และจริง ๆ แล้วผมคิดว่าเราก็คงต้องฝึกฟังทั้ง 2 ประเภทนั่นแหละครับ เพื่อที่เราจะได้สามารถทั้ง‘เล่าเรื่อง และ ‘พูดคุย’
และเว็บเพื่อการฝึก Listening Skill ที่ผู้จัดรายการ ‘อ่าน’ หรือ ‘สนทนา’ ให้เราฟังก็มีทั้งพูดด้วยคว่ามเร็วปกติ (normal speed) และ ความเร็วช้า (slow speed) และสำหรับผู้เริ่มต้น การฝึกฟังบทพูดหรือบทสนทนาที่เป็น slow speed น่าจดี
ผมรวบรวมไว้มากมายให้ท่านเลืกฟังที่นี่ครับ
การฟัง listening
[376] เพลิดเพลินกับการฝึกภาษาผ่านการดูวีดิโอ
วันนี้ผมขอแนะนำเว็บเพื่อการฝึกฟังบทสนทนา
ผมเคยแนะนำไว้เว็บหนึ่งแล้ว คือ eslpod.com ที่ลิงค์นี้
[176]ฝึกฟังช้า ๆ จะได้ทั้ง 'สำเนียง' และ 'สำนวนพูด'
และขอแนะนำวันนี้อีก 2 เว็บคือ
เว็บที่ [1] http://www.china232.com/lessons.php
เป็นบทสนทนาง่าย ๆ เบา ๆ มีฝรั่ง 2 คนเป็นผู้ชายพักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เป็นผู้จัดรายการ จะเริ่มรายการด้วยการอารัมภบทเพื่อชักนำเข้าสู่บมเรียน ตามด้วยการอ่านบทสั้น ๆ และตอนท้ายเป็นการอธิบายศัพท์-สำนวนที่ใช้ในการสนทนา
เว็บที่ [2] betteratenglish.com
เขาบอกว่าเป็น Real English for Real People! มีผู้จัดรายการเป็นหญิง 1 ชาย 1 เว็บนี้ยากกว่า eslpod.com และ china232.com แต่ข้อดีคือมี script ฉบับเต็มให้ดาวน์โหลดอ่านพร้อมกับฟัง
ลองฟังระดับง่ายสุดของเว็บนี้ก่อนแล้วกันครับ หลังจากนี้ค่อยขยับไปฟังระดับที่ยากขึ้น (ที่คอลัมน์ใหญ่ซ้ายมือ คลิกที่ Play Now และ PDF:Download)
page/1 - page/2/ - page/3/ - page/4/ - page/5/ - page/6/ - page/7/ -page/8/
เว็บที่ [3] http://www.podcastsinenglish.com/
มีบทสนทนา บทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นระดับ ง่าย - ยากให้เลือก
ทั้ง 4 เว็บที่กล่าวนี้ ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3เก็บไว้ฟังได้
มีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือสมาธิในการฟัง ท่านเคยฟังอย่างนี้ไหมครับ นั่งอยู่คนเดียวที่บ้านในห้องและเปิดฟังโดยหลับตา ใช้สมาธิ 100 % พยายามจับเสียงที่กำลังเปิดฟัง ถ้าเราเก่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฟังมากปานนี้หรอกครับ แค่สำหรับผู้ฝึกหัด ผมขอรับรองว่าด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน การฟังด้วยสมาธิจะได้ผลมากกว่าและเร็วกว่าการฟังที่ปราศจากสมาธิ หรือมีสมาธิน้อยเกินไป
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
[184] เว็บช่วยฝึกการใช้ดิก อังกฤษ-อังกฤษ
สวัสดีครับ
สำหรับท่านที่ต้องการจะฝึกใช้ดิกชันนารี อังกฤษ - อังกฤษให้คล่อง แต่รู้สึกว่าเสียเวลามากในการพลิกเล่มดิกเพื่อหาศัพท์แต่ละคำ ท่านฝึกกับ 2 เว็บข้างล่างนี้น่าจะสะดวกดี
2 เว็บข้างล่างนี้เป็นเว็บที่มีคุณภาพดีมากสำหรับท่านที่ต้องการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง และที่สำคัญก็คือ ท่านเพียงดับเบิลคลิกที่คำใดก็ได้ในเว็บ จะปรากฎเป็นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาแสดงคำแปลของศัพท์คำนั้นจาก Cambridge Dictionary ซึ่งเป็น English Learner's Dictionary ชั้นนำระดับ Oxford หรือ Longman
ฝึกบ่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ รับรองว่าไม่นานนักท่านจะใช้ดิกชันนารีอังกฤษ - อังกฤษได้คล่อง และ reading skill รามทั้ง English skill อื่น ๆ ก็จะดีขึ้นด้วยครับ
http://www.britishcouncil.org/central.htm
http://www.englishforum.com/00/
อีก 2 เว็บที่มีประโยชน์มาก ๆ คือ answers.com และ thefreelibrary.com ซึ่งเป็น แหล่งข้อมูลมหาศาล ที่ดีมาก ๆ และศัพท์ทุกคำที่แสดงในเว็บนี้ (ยกเว้นศัพท์ที่เป็นลิงค์) เมื่อดับเบิลคลิกจะปรากฎเป็นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาแสดงคำแปลของศัพท์คำนั้นทันที เว็บ answers.com และ thefreelibrary.com นี้ผมขอแนะนำเป็นพิเศษ เพราะท่านสามารถหาคำตอบให้แก่แทบจะทุกคำถามที่ท่านพิมพ์ถาม
http://www.answers.com/
http://www.thefreelibrary.com/
ส่วนเว็บนิทานอีสปและเว็บธรรมะข้างล่างนี้ ก็มี pop up dictionary ให้ใช้งานเช่นกัน
นิทานอีสป
http://www.aesopfables.com/
เว็บธรรมะ
http://buddharocks.org/
http://buddharocks.org/main/
http://buddharocks.org/main/index.php?option=com_fireboard&Itemid=57
และถ้าท่านต้องการใช้ดิกชันนารี อังกฤษ - อังกฤษ, อังกฤษ - ไทย เล่มอื่น เชิญไปที่นี่ครับ รวม Search Box สุดยอด Dict.
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
สำหรับท่านที่ต้องการจะฝึกใช้ดิกชันนารี อังกฤษ - อังกฤษให้คล่อง แต่รู้สึกว่าเสียเวลามากในการพลิกเล่มดิกเพื่อหาศัพท์แต่ละคำ ท่านฝึกกับ 2 เว็บข้างล่างนี้น่าจะสะดวกดี
2 เว็บข้างล่างนี้เป็นเว็บที่มีคุณภาพดีมากสำหรับท่านที่ต้องการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง และที่สำคัญก็คือ ท่านเพียงดับเบิลคลิกที่คำใดก็ได้ในเว็บ จะปรากฎเป็นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาแสดงคำแปลของศัพท์คำนั้นจาก Cambridge Dictionary ซึ่งเป็น English Learner's Dictionary ชั้นนำระดับ Oxford หรือ Longman
ฝึกบ่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ รับรองว่าไม่นานนักท่านจะใช้ดิกชันนารีอังกฤษ - อังกฤษได้คล่อง และ reading skill รามทั้ง English skill อื่น ๆ ก็จะดีขึ้นด้วยครับ
http://www.britishcouncil.org/central.htm
http://www.englishforum.com/00/
อีก 2 เว็บที่มีประโยชน์มาก ๆ คือ answers.com และ thefreelibrary.com ซึ่งเป็น แหล่งข้อมูลมหาศาล ที่ดีมาก ๆ และศัพท์ทุกคำที่แสดงในเว็บนี้ (ยกเว้นศัพท์ที่เป็นลิงค์) เมื่อดับเบิลคลิกจะปรากฎเป็นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาแสดงคำแปลของศัพท์คำนั้นทันที เว็บ answers.com และ thefreelibrary.com นี้ผมขอแนะนำเป็นพิเศษ เพราะท่านสามารถหาคำตอบให้แก่แทบจะทุกคำถามที่ท่านพิมพ์ถาม
http://www.answers.com/
http://www.thefreelibrary.com/
ส่วนเว็บนิทานอีสปและเว็บธรรมะข้างล่างนี้ ก็มี pop up dictionary ให้ใช้งานเช่นกัน
นิทานอีสป
http://www.aesopfables.com/
เว็บธรรมะ
http://buddharocks.org/
http://buddharocks.org/main/
http://buddharocks.org/main/index.php?option=com_fireboard&Itemid=57
และถ้าท่านต้องการใช้ดิกชันนารี อังกฤษ - อังกฤษ, อังกฤษ - ไทย เล่มอื่น เชิญไปที่นี่ครับ รวม Search Box สุดยอด Dict.
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)