วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

[36]คุณเห็นด้วยหรือไม่กับเนื้อเพลง “Que sera sera”?

สวัสดีครับ
ตอนผมเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นประถม ครูภาษาอังกฤษสอนให้ร้องเพลง “Que sera sera” ไม่ทราบว่านักเรียนสมัยนี้รู้จักเพลงนี้หรือเปล่า เนื้อเพลงทำนองว่า เด็กถามแม่ว่า โตขึ้นหนูจะสวยไหม ? รวยไหม ? ครั้นมีแฟนก็ตามแฟนว่า อนาคตของเราจะสดใสเหมือนสายรุ้งไหม ? แล้วก็ถึงเวลาที่มีลูกของตัวเอง ก็ถูกลูกถามด้วยคำที่ตัวเองเคยถามแม่ โตขึ้นหนูจะสวยไหม ?รวยไหม ?

และการตอบทุกครั้งก็คือสร้อยเพลง ที่กล่าวว่า...
Que sera, sera,
Whatever will be, will be.
The future´s not ours to see,
Que sera, sera,
What will be, will be.

ลองคลิกฟังทำนองและอ่านเนื้อเพลงดูก่อนก็ได้ครับ
http://www.waltm.net/que_sera.htm
http://okielegacy.org/grandpa/quesera.htm

แล้วก็มีคนถามว่า เราควรจะเห็นด้วยกับเนื้อเพลงนี้ไหม …
Whatever will be, will be.
อะไรจะเกิด, ก็ต้องเกิด

The future´s not ours to see,
อนาคตเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น

แล้วก็มีคนตอบไว้ที่นี่ (คลิก)

ซึ่งผมเห็นว่าเป็นคำตอบที่ดีมากเลย เขาตอบว่า...
“Though I agree that the future isn't ours to see, I also believe that our choices effect our future. We just can't sit back and wait for "fate" to had us our lot in life. We are faced with daily choices, both large and small, and the decisions that we make determine much of the outcome of our lives.

"Even though we cannot control what happens TO us, we can always control how WE react.”

“แม้ฉันจะเห็นด้วยว่า อนาคตไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองเห็น ฉันก็ยังคงเชื่อว่า สิ่งที่เราเลือกจะทำย่อมมีผลต่ออนาคตของเรา คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะนั่งอยู่เฉย ๆ และรอให้ “โชคชะตา” มากำหนดชีวิตของเรา ในแต่ละวันมีเรื่องเล็กบ้างใหญ่บ้างให้เราตัดสินใจ และการตัดสินใจของเรานั่นแหละที่ส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของเราเอง

“แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อชีวิตเรา แต่เราก็ยังสามารถเสมอที่จะควบคุมการกระทำของเราต่อเหตุการณ์เหล่านั้น”


ถ้าย้อนมาถึงพวกเราทุกคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ยังต้องศึกษาภาษาอังกฤษ ผมเชื่อจริง ๆ ว่า...
“แม้เราจะไม่ได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในการศึกษาภาษาอังกฤษ แต่เราก็สามารถทำให้ดีที่สุดเท่าที่เรามีโอกาส”

พิพัฒน์

pptstn@yahoo.com

1 ความคิดเห็น:

โป๊งเหน่ง กล่าวว่า...

ตามความคิดของผมนะ ผมคิดว่าผู้แต่งเพลงนี้แต่งในบริบทที่ต้องการให้ผู้ฟัง สบายใจ คือไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร ณ เวลาไหนของชีวิต อย่าไปเครียดกับมัน ประมาณนี้มากกว่าครับ ผมไม่ได้บอก หรือสนับสนุนให้เรา"ปลง" นะ แล้วก็ไม่ได้บอกให้ ไม่ได้จริงจังกับงานด้วย เพราะเราก็มีบทบาท และหน้าที่ ที่เราต้องทำ และเราก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ แต่อย่า เครัยดเป็นบ้า เป็นหลังครับ ถ้าตามความเชื่อของ คริสเตียนอย่างผมเนี่ยก็จะบอกว่า วางใจในพระเจ้าของเราเถอะ ทุกอย่างจะคลี่คล้ายเอง ไม่มีงานไหนที่ใหญ่เกินมือพระเจ้าหรอก . . .