วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

[42] ความอยากผิด ๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ

สวัสดีครับ
ตั้งแต่เริ่มเขียน Blog นี้จนถึงปัจจุบัน คำถามที่ท่านผู้อ่านถามมาบ่อยที่สุด คือ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษเก่ง ๆ ?” คำถามนี้ตอบยากที่สุดเลยครับ เพราะ
1. ผมเองเพียงแค่พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ไม่ได้พูดเก่ง คำถามนี้จึงต้องให้คนพูดเก่งเป็นคนตอบ
2. ผมเชื่อว่าท่านผู้ถามส่วนใหญ่ก็สามารถตอบได้เองว่าต้องทำอย่างไร ภาษิตอังกฤษว่า “Practice makes perfect”. ภาษิตไทยว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น“ โกวเล้งปรมาจารย์นิยายจีนกำลังภายในกล่าวว่า “ฟ้าไม่รานน้ำใจคนพยายาม” ผมเองผู้น้อยก็ต้องพูดตามภาษิตเหล่านี้ว่า “ขยันฝึกพูดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็พูดได้เก่งเองแหละ” คงตอบได้ดื้อ ๆ แบบนี้แหละครับ

แต่เมื่อมีหลายท่านให้เกียรติผมในการตอบคำถามนี้ ผมก็ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่มีอยู่ไม่มาก ถือว่าเล่าสู่กันฟังตามประสาคนที่ยังต้องเรียนภาษาอังกฤษอยู่เรื่อย ๆ เหมือน ๆ กัน เอาอย่างนั้นแล้วกันนะครับ

ท่านที่ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ๆ โดยมากเรียนจบและ
ทำงานแล้ว และในงานบังคับให้ต้องพูดภาษาอังกฤษ และที่หนักข้อคือต้องพูดให้ได้ทันที ไม่มีเวลาให้ฝึกนานนัก ก็เลยหนักใจ

สิ่งที่ผมรู้สึกอยู่เสมอและอยากจะพูดเป็นอันดับแรกก็คือไม่มีทางลัด ไม่มีหลักสูตรพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้นในการเก่งภาษาอังกฤษ ทุกอย่างเป็น slow, continuous process ทั้งสิ้น อย่าหวังปาฏิหาริย์ในการเรียนภาษาอังกฤษเลยครับ ไม่เจอหรอก เดี๋ยวจะถูกเกจิทางภาษาโฆษณาเกินจริงหลอกเอาเปล่า ๆ

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ก็รู้สึกว่า คนที่อยากจะเก่งภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็นอยากพูดเก่ง อ่านเก่ง หรือเขียนเก่ง ความอยากที่ถูกต้องเช่นนี้ยากนักที่จะได้สมอยาก ถ้าหากว่ามีความอยากผิด ๆ บางอย่างขวางอยู่ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ถ้าไม่เพราะหรือหยาบคายท่านผู้อ่านโปรดอภัยด้วยนะครับ

(1) อยากปลูกบ้านโดยไม่ลงเสาเข็ม
บ้านหรือตึกที่ไม่ลงเสาเข็มโดยเฉพาะอย่างยิ่งปลูกบนพื้นดินนิ่มปลูกได้ไม่นานเท่าไรก็ทรุด ยิ่งถ้าต่อเติมเพิ่มขึ้นก็อาจพังลงมาเลย ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าเสาเข็มไม่มีหรือมีน้อยเกินไป เรียนไปได้ไม่เท่าไหร่ก็คงล้ม

แล้วอะไรล่ะครับคือเสาเข็มของการศึกษาภาษาอังกฤษ มี 2 เสาเข็มครับที่ท่านต้องตอกลงถี่ ๆ เป็นพื้นฐานบ้านภาษาอังกฤษของท่าน คือเสา Vocab กับเสา Grammar ผมพูดเรื่องนี้ไว้มากพอสมควรที่ลิงค์นี้ ถ้ามีเวลาลองอ่านดูนะครับ ศัพท์ และ แกรมมาร์
ถ้าให้ผมเดา หลายท่านที่ talk และท้อ มาให้ผมฟังเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษก็น่าจะเป็นเพราะเสาเข็มน้อยเกินไปนี่แหละครับ

ไม่มีทางอื่นหรอกครับ ต้องลงเสาเข็มเพิ่มเรื่อย ๆ จนฐานบ้านภาษาอังกฤษของท่านมั่นคง

(2) อยากปลูกต้นมะม่วงเพียงชั่วข้ามคืนให้ได้กินลูก
ต่อให้ท่านได้พันธ์ดี ดินดี ปุ๋ยดี อากาศดี ตำราการปลูกดี ก็ไม่มีทางหรอกครับที่จะได้กินลูกมะม่วงเพียงปลูกชั่วข้ามคืน ต้องรอครับ รอ = ร + อ, ร.เรือ คือ รัก, อ. อ่าง คือ อดทน “รอ” จึง = รักและอดทน คือ
- ขยันสม่ำเสมอ - ซื่อสัตย์ต่อตารางฝึกที่ตั้งไว้ไม่เบี้ยวตัวเอง
- รออย่างมีความสุขไม่หงุดหงิดตอนที่ยังไม่เก่ง ไม่โทษฟ้า ไม่โทษดิน ไม่โทษครู ไม่โทษโรงเรียน ไม่โทษบรรพบุรุษของไทยที่รักษาเอกราชไว้ได้ไม่เอาเมืองไทยไปเป็นเมืองขึ้นอังกฤษสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ทำให้คนไทยพูดอังกฤษไม่ค่อยเป็น
- พอใจในผลที่ได้รับ เห็นคนอื่นเขาขยันแล้วรู้เรื่องมากกว่าเราก็ไม่อิจฉาเขา, ไม่ยั๊วะตัวเองว่าเรียนไม่รู้เรื่อง เรื่องของเรื่องก็คือว่าต่อให้ขยันเหมือนกันก็อาจเรียนได้ผลไม่เท่ากันเพราะยีนและกรรมคนเรามีไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ก็ต้องยอมรับในยีนและเงยหน้ารับกรรมอย่างยิ้มแย้มและขยัน
- ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ต้องสังเกตเอาเองครับว่าแผนที่วางไว้เพื่อเอาชนะภาษาอังกฤษ พอทำศึกแล้วมันแพ้ที่ชัยภูมิไหน รายละเอียดของการแพ้เป็นยังไง เรื่องนี้ถามครูก็ได้แต่น่าจะถามตัวเองก่อนดีกว่า
- ข้อสุดท้าย แม้ว่าจะใช้ครบแล้ว ทั้งฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็ต้องรอ คนที่ใจร้อนและหงุดหงิดเกินไปทำอะไรไม่สำเร็จหรอกครับ ถ้าขยัน – ใจเย็น – และพอใจ ไม่เท่าไรก็ได้กินลูกมะม่วง

ผลของการเรียนภาษาอังกฤษด้วยความรัก-อดทน-ใจเย็น อร่อยและหอมหวานมากกว่ามะม่วงสุกหลายเท่าครับ

(3) อยากผอมโดยกินยาลดความอ้วน แต่ไม่ยอมลดอาหาร ไม่ยอมออกกำลังกาย
หลายคนอ้วนและอยากผอมอย่างรวดเร็ว ก็เลยตระเวนหายาลดความอ้วนมากิน ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าการจะผอมอย่างมีสุขภาพดีต้องลงทุนทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดอาหารหวาน ลดอาหารมัน และออกกำลังกายให้เหงื่อออก

หลายคนอยากพูดเก่งแต่ก็เอาแต่พูดในใจ หรือฟังคนอื่นพูด อยากเขียนเก่งแต่ก็เอาแต่อ่านสิ่งที่คนอื่นเขียน ไม่ยอมฝึกเขียนเอง อยาก perfect แต่ไม่ยอม perform

แม้ว่าการฝึกทักษะใดทักษะหนึ่ง จะช่วยให้อีก 3 ทักษะดีตามไปด้วย แต่ถ้าเราอยากพูดเก่ง แต่ไม่ชอบพูด มันก็พูดไม่ได้หรอกครับ เราจะต้องพูดออกไปทั้ง ๆ ที่ไม่อยากพูด วิธีใดได้ผลก็ต้องทำวิธีนั้นแม้ว่าจะไม่ชอบทำก็ตาม เหมือนอยากผอมอย่างมีสุขภาพดี เอาแต่กินยาลดความอ้วนและลดอาหาร ร่างกายอาจจะผอมลง แต่เป็นความผอมพร้อมมันเปลว ไม่ใช่ผอมพร้อมเนื้อสันเพราะไม่เคยออกกำลังกาย

เราต้องฝึกภาษาอังกฤษโดยวิธีที่ฝึกแล้วได้ผล ไม่ใช่ฝึกโดยวิธีที่เราอยากฝึกแต่ไม่ได้ผล

(4) อยากขึ้นภูกระดึง โดยนั่ง Cable car

แม้รู้ว่าทิวทัศน์บนภูกระดึงสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพริมผาเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก ป่าสน น้ำตก ป่าปิด และเราก็รู้อีกว่าจะได้พบทิวทัศน์อันงดงามเช่นนั้นต้องเดินด้วย 2 ขาขึ้นไปเอง สัมภาระอาจจะจ้างลูกหาบช่วยแบกขึ้นไปได้ แต่ตัวเองต้องเดินเอาเอง

คนที่อยากขึ้นภูกระดึงทุกคนยอมรับสภาพนี้ ไม่มีใครอยากขึ้น โดยนั่ง cable car เพราะ cable car ไม่มีให้เรานั่งขึ้นไป การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อไม่มี “cable car” ช่วยหิ้วเราไปถึงยอดแห่งความสำเร็จเร็ว ๆ เช่น ไม่มีพ่อแม่ให้เงินไปเรียนหรือเข้าคอร์สเมืองนอก, ไม่มีเงินเยอะ ๆ จ้างครูมาสอนส่วนตัว, ไม่มีเวลาว่างมาก ๆ ทั้งวันเพื่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ ไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อน ให้ speak English ด้วยเมื่อใดก็ตามที่โทรถึง ฯลฯ และไม่มีอื่น ๆอีกสารพัดอย่าง ก็ต้องเรียนจากทรัพยากรเท่าที่เรามีนี่แหละครับ

เมื่อไม่มี cable car ก็ต้องใช้ 2 ขาของตัวเองนี่แหละครับ, ถ้า cable car ก็ไม่มี, 2 ขาก็ไม่ยอมใช้ ก็ไม่มีทางได้ขึ้นไปชมความงามบนภูกระดึงหรอกครับ ความงามของภาษาอังกฤษที่ท่านต้องการชื่นชมก็เป็นเช่นเดียวกัน

(5) อยากได้ลูกเสือแต่ไม่กล้าเข้าถ้ำเสือ
ใน 4 ทักษะภาษาอังกฤษ การพูดเป็นเรื่องที่ต้องแสดงออกมากที่สุด แต่หลายคนก็ไม่อยากแสดงออก ไม่อยากพูด เพราะไม่มั่นใจ กลัวหน้าแตก

อยากจะพูดว่าถ้ากลัวหน้าแตก ชาตินี้คงไม่มีวันพูดได้หรอกครับ เราต้องยอมงงและคลำทางไปเรื่อย ๆ ก่อนจะพบความง่าย การเรียนแล้วไม่รู้เรื่องไม่ได้แปลไม่ได้เรื่อง จะลักลูกเสือออกจากถ้ำเสืออาจจะถูกเสือแม่ลูกอ่อนตระครุบตาย แต่การพูดภาษาอังกฤษผิด ๆ ถูก ๆ ไม่ถึงกับตายหรอกครับ แต่กลับมีผลดีซะอีกเพราะทุกครั้งที่ “หน้าแตก” หน้าจะกลับเต่งตึงขึ้นเรื่อย ๆ เพราสิ่งที่ได้รับทุกครั้งคือความชำนาญ และความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น

ย้อนกลับมายังคำถามเดิม “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษเก่ง ? หรือพูดกว้าง ๆ คือทำอย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษ

ผมมีความรู้สึกทุกครั้งที่ได้ยินคำถามนี้ว่า คำตอบอยู่ที่ใจมากกว่าอย่างอื่น ถ้าใจสู้ –ใจรัก - และเชื่อมั่นว่าทำได้ เชื่อผมเถอะครับว่า ท่านทำได้

แต่ถ้าเราไม่สู้ – ไม่รัก - เราก็จะไม่เชื่อมั่นว่าเราทำได้ และเราก็จะไม่ทำ และเราก็จะทำไม่ได้

ผมนึกไปถึงกาพย์ยานี 16 ของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังของเมืองไทยที่ล่วงลับไปแล้ว คือคุณประยูร จรรยาวงศ์ ท่านเขียนไว้ในหนังสือวันเด็กปีหนึ่ง เรื่อง “เรียนเก่งเรียนอย่างไร” กาพย์ยานีบทนี้นำมาเป็นคติสำหรับทุกท่านที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษได้อย่างดีเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
“เรียนเก่งเรียนอย่างไร เรียนด้วยใจหิววิชา
อยากรู้ดูตำรา ยิ่งค้นคว้ายิ่งพาเพลิน
ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ผลักความทุกข์พ้นทางเดิน
ไม่หิวไม่อิ่มเกิน ไม่ห่างเหินไม่โหมเอย”

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วันนี้ได้มีโอกาสมาอ่านตรงนี้อีกครั้ง แน่นอน ได้พลังขึ้นมาอีกนิด ไม่ได้บอกนะว่า ท้อ แต่ก็แค่อยากหาที่ซบนุ่มๆ สักนิดเท่านั้น

**Happy Teacher's Day**

**you are my teacher**

I am naree

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบเว็บนี้มากค่ะ

ดีใจค่ะที่หาเจอ

เพราะอยากเรียนในต่างประเทศมาก

แต่ว่าขาดปัจจัยหลายอย่าง

จะพยายามต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ